CIMBT ปรับจีดีพีไทยปีนี้ ลบแรง 6.4% หลัง โควิด-19 ระบาดไม่หยุด

CIMBT ปรับจีดีพีไทยปีนี้ ลบแรง 6.4% หลัง โควิด-19 ระบาดไม่หยุด

แบงก์ซีไอเอ็มบีไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ ติดลบเป็น 6.4% จาก บวก1.7% หลังโควิดกระทบแรง

   ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงชะลอตัวแรงขึ้นกว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากจีนและภูมิภาคเอเชียไปสู่ทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาอย่างรวดเร็ว จนกระทบแทบทุกภาคส่วนทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

   ล่าสุดมีการประกาศมาตรการให้คนอยู่แต่ในบ้านหรือ lockdown ในแต่ละภูมิภาค การห้ามเคลื่อนย้ายคนและสินค้าตลอดจนการทำงานในเขตอุตสาหกรรมดูจะเป็นแนวทางที่ดีในการลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

  แต่ในขณะเดียวกัน มาตรการเหล่านั้นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลงแรงหรือหยุดชะงัก สิ่งที่ตามมาคือการจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานสูงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อแผ่วลง เศรษฐกิจประเทศสำคัญๆ กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะการถดถอย แต่จะเลวร้ายแค่ไหน จะลากยาวเป็นวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ คงตอบยาก ขึ้นอยู่กับการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อ และมาตรการทางการเงินและการคลังที่จะประคองและดูแลผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ

     นอกจากนี้ วิกฤติเศรษฐกิจรอบที่ผ่านๆ มามีการเปลี่ยนรูปแบบอย่างเสมอ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ไม่สามารถคาดการณ์วิกฤติได้ เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 เกิดในภาคการเงินในประเทศ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 เกิดจากภาคการเงินของสหรัฐแต่ไทยได้รับผลกระทบผ่านภาคการส่งออกที่หดตัวแรงจนกระทบอุปสงค์ในประเทศ

     รอบนี้ในปี 2563 หากจะเกิดวิกฤติโคโรนาหรือโควิด-19 จะเกิดได้ผ่านหลากหลายช่องทาง แต่ท้ายที่สุดหากเหตุการณ์เลวร้ายควบคุมไม่อยู่จนเกิดวิกฤติคงหนีไม่พ้นภาคการเงิน แต่ในมุมมองของเรา ทั่วโลกยังไม่ใช่วิกฤติเพียงแต่เข้าสู่ภาวะการถดถอยที่ประเทศสำคัญมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงแรงหรือหดตัว

     สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้ปรับมุมมองทางเศรษฐกิจไทยจากเดิมขยายตัว 1.7% เป็นหดตัว 6.4% ตามภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ภาวะการถดถอยนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 และน่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง แต่หากสถานการณ์เลวร้ายไปอีก เศรษฐกิจไทยคงเข้าสู่ภาวะวิกฤติตามเศรษฐกิจโลก

     และอย่าลืมว่า เศรษฐกิจไทยก็มีความเสี่ยงเติบโตช้าก่อนหน้าไวรัสระบาด จากปัญหาสงครามการค้า ภัยแล้ง และงบประมาณที่ล่าช้า คำถามคือ ไทยอยู่ห่างจากช่วงวิกฤติมากน้อยเพียงไร อยู่เฟสไหนในช่วงวิกฤตินี้ และจะหนีพ้นวิกฤติไปได้อย่างไร

    ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่เฟส 3

ประเทศไทยอยู่ในเฟส 2 ของการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่การระบาดเข้ามาสู่คนไทยที่ติดต่อผ่านผู้ติดเชื้อต่างชาติหรือหากติดต่อผ่านคนไทยด้วยกันก็ยังสามารถสืบหาแหล่งที่มาได้ แต่ในอีกไม่ช้าอาจจะเข้าเฟส 3 คือการที่คนไทยติดกันเองในวงกว้างและรวดเร็วโดยไม่ทราบแหล่งที่มา ซึ่งภาคสาธารณสุขกำลังทำงานอย่างเต็มที่ในการยืดเวลาการเข้าสู่เฟส 3

     แต่หากเทียบการระบาดทางเศรษฐกิจ เรามองว่าเศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่เฟส 3 ไปเรียบร้อยแล้ว

    เฟส 1 การระบาดไวรัสในประเทศจีนกระทบภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนหดตัวมากกว่าครึ่ง ขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอลงแรงมีผลให้ภาคการส่งออกไทยหดตัวตามอุปสงค์ที่ลดลง นอกจากนี้การที่จีนสั่งปิดโรงงานและภาคธุรกิจมีผลให้ไทยขาดวัตถุดิบสำคัญที่มาจากจีน จนมีผลให้ภาคการผลิตของไทยที่ชะลอตามการส่งออกที่หดตัวอยู่แล้วกลับย่ำแย่อีกเพราะต้องลดกำลังการผลิตตามการขาดแคลนวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรม

     เฟส 2 ต่อมาเมื่อการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19เข้ามาในประเทศไทย เราได้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่เฟสที่ 2 คือ กระทบผ่านภาคการบริโภคที่ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่แออัด ประกอบกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นเริ่มลดลงต่อเนื่อง การใช้จ่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคเริ่มลดลง ยอดการค้าปลีกมีแนวโน้มชะลอลงตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ คนเริ่มระมัดระวังการออกนอกบ้าน และล่าสุดมีการประกาศของหน่วยงานราชการในหลายจังหวัดที่ขอความร่วมมือผู้คนออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็น และปิดสถานบริการหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ของเชื้อไวรัส มีผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือนชะลอลงแรงหรือหดตัวได้ในบางประเภท

     เฟส 3 เศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่เฟส 3 ของการแพร่เชื้อไวรัสไปบ้างแล้วผ่านตลาดการเงินที่เริ่มติดเชื้อ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีแรงเทขายหนัก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกหดหาย มีการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภทเพื่อนำเงินสดกลับไปถือในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ จากการที่นักลงทุนกังวลต่อปัญหาสภาพคล่องในสหรัฐฯ

     นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าธุรกิจสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว การขนส่ง และน้ำมันอาจมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น นักลงทุนเทขายตราสารหนี้

     รวมไปถึงตราสารหนี้ที่แทบจะเรียกว่าปลอดภัยที่สุดในโลกนั่นคือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาพันธบัตรลดลงหรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น และไม่เพียงสหรัฐฯ เท่านั้น ภาวะความแตกตื่นนี้ลามไปทั่วโลกรวมทั้งไทย ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมมือกับหลายภาคส่วนได้ออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านธนาคารพาณิชย์เพื่อช่วยพยุงความผันผวนในตลาดตราสารหนี้

    นอกจากนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่0.75% ต่อปี เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบ

    ทซึ่งในภาวะเช่นนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเฟส 3 เท่านั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ทางกนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในไตรมาสที่ 2 นี้เหลือ 0.50% ต่อปี โดยที่ภาครัฐได้ออกมาตรการพยุงสภาพคล่องและมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ต่อเนื่อง ช่วยยืดเวลาให้เราอยู่ในช่วงต้นของเฟส 3 นานขึ้น โดยเฉพาะหลังตลาดพันธบัตรเริ่มอยู่ในภาวะที่บริหารจัดการได้ นักลงทุนหายตกใจ

    อย่างไรก็ดี ความเสียหายทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว การส่งออก การผลิต การบริโภค และความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุนนั้นมีมาก เศรษฐกิจไทยจึงอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีนี้        

     เรามองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเข้าสู่จุดต่ำสุดช่วงไตรมาสที่ 2 ทางกนง. น่าจะใช้นโยบายอื่นควบคู่กับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการดูแลสภาพคล่อง ซึ่งมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องนั้นน่าจะมีส่วนช่วยให้เงินบาทอยู่ในทิศทางอ่อนค่าได้ จากการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องสูง น่าจะลดความน่าสนใจของเงินบาท

    อีกทั้งภาวะความไม่แน่นอนในตลาดโลกน่าจะมีผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในทิศทางแข็งค่าเทียบสกุลอื่นๆ เงินบาทน่าจะอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ไปได้ถึงระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ และน่าจะเริ่มมีเสถียรภาพก่อนกลับมาแข็งค่าได้เล็กน้อยจากการที่ไทยยังเกินดุลการค้าและจากการที่ตลาดการเงินโลกเริ่มคลายความกังวลจากปัญหาสภาพคล่อง เรามองปลายปีนี้เงินบาทน่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

 

      ดังนั้น ต้องเร่งยับยั้งก่อนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่เฟส 4 วิกฤติมักยากที่จะคาดเดา แต่มักลงเอยที่ภาคการเงินแล้วส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจอื่นๆ หยุดชะงัก เราคาดว่าหากปัญหาไวรัสระบาดลากยาว เศรษฐกิจจะทรุดหนักจนเกิดวิกฤติขึ้นมา

วิกฤติจะเกิดผ่านปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ หรือ credit crisis กล่าวคือ กลุ่มภาคธุรกิจที่มีปัญหาหนี้สูงและเป็นกลุ่มที่อันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับน่าลงทุน หรือ non-investment grade หรือ high yield จะเป็นกลุ่มที่อาจผิดนัดชำระหนี้และอาจทำให้เกิดปัญหาความเชื่อมั่นต่อระบบตลาดเงินและตลาดทุน จนเกิดการลามไปสู่การไถ่ถอนตราสารหนี้

     เช่น หุ้นกู้บริษัทเอกชน หรือ corporate bond ในกลุ่มที่มีความน่าเชื่อถือดีหรือไม่ได้รับปัญหาทางเศรษฐกิจมากจนบริษัทไม่มีเงินชำระหนี้

    อย่าลืมว่าด้วยปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันจากพิษไวรัสที่ยอดขายตก หลายธุรกิจปิดตัวลงชั่วคราวได้ยิ่งซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่อง แม้วันนี้ทางหน่วยงานกำกับดูแลตลาดเงินตลาดทุนได้ออกมาตรการมาประคองตลาดและสร้างความเชื่อมั่น แต่หากกลุ่มที่เสี่ยงล้มแล้วเกิดอาการลามดึงกลุ่มที่ดีๆ มีความเสี่ยงตามไปด้วย ธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือดีเพียงแต่ขาดเงินสดก็อาจประสบปัญหาได้จากภาวะความตกใจของตลาด หรือเมื่อภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ก็อาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือในภาวะที่ทุกคนเทขายสินทรัพย์ต่างๆ จากความกังวลว่าธุรกิจจะไม่สามารถชำระหนี้คืนได้หรือกังวลว่าราคาสินทรัพย์จะลดลงไปต่อเนื่อง ราคาสินทรัพย์อื่น

      เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโด รถยนต์ นาฬิกาหรูและสินค้าฟุ่มเฟือยราคาสูงอื่นๆ อาจมีราคาลดลงได้ เกิดผลด้านจิตวิทยาต่อผู้บริโภคผ่านความมั่งคั่ง หรือ wealth effect ที่เมื่อคนรู้สึกว่าตัวเองจนลง ก็จะลดการบริโภคหรืออุปโภคสินค้าตามมา จนภาพใยแมงมุมที่โยงจากปัญหาไวรัสระบาดสู่การท่องเที่ยว การส่งออก การผลิต การบริโภค และภาคการเงินวนครบทั้งวงจรและฉุดให้เศรษฐกิจดำดิ่งจนเกิดการว่างงานสูงและอาจลากยาวจนเศรษฐกิจถดถอยไปได้ราว 1 ปีหรือ 2 ปี

     ซึ่งภาวะนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นเฟสที่ 4 ที่เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวได้มากกว่า 11% ในปีนี้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด และอาจเป็นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เลวร้ายที่สุดที่เราเคยเผชิญ

แต่อย่าเพิ่งตกใจ เรายังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีทางออกในการยืดเวลาของเฟส 3 และให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในปีหน้า ช่วยให้เราพ้นวิกฤตินี้ไปได้ หรือเราอาจฟื้นได้เร็วโดยอาจหดตัวเพียง 2.2%

     ในกรณีที่ดีที่สุดในปีนี้ ซึ่งอาจจะเจ็บในระยะสั้นแต่จะจบไวและฟื้นเร็ว แต่เราต้องทำอย่างไรบ้าง สำนักวิจัยฯ มีความเห็น 3 ประการเพื่อยื้อเวลาให้เราประคองตัวได้หรืออาจพลิกให้เรากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในครึ่งปีหลังดังนี้

     ประการแรก นโยบายการเงินต้องผ่อนปรนและคิดนอกกรอบ วันนี้ทั้งครัวเรือนและธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น SME หรือธุรกิจขนาดใหญ่ ต่างขาดเงินสดหรือขาดสภาพคล่อง จากการถูกเลิกจ้าง หรือยอดขายตก ภาระหนี้มีสูง แม้ที่ผ่านมากนง.ได้ลดดอกเบี้ยแล้ว แต่คนจำนวนมากยังมีภาระหนี้สินอยู่

    ซึ่งมาตรการของธปท. ในการดูแลให้คนยังมีความสามารถในการชำระหนี้ เช่น ลดยอดการชำระหรือยืดเวลาการชำระหรือให้ชำระเพียงดอกเบี้ยได้ชั่วคราวนับเป็นก้าวที่ดีในการประคองภาคเอกชน แต่อาจต้องพิจารณาว่าปัญหาทางเศรษฐกิจจะไม่ลากยาวและลูกหนี้สามารถฟื้นได้เร็วเมื่อหมดโครงการนี้

     ไม่เช่นนั้น ยอดหนี้เสียจะพุ่งได้ในอนาคต นอกจากมาตรการนี้ มาตรการทางการเงินอีกด้านที่น่าสนใจคือการอัดฉีดสภาพคล่องให้ภาคธุรกิจผ่านการซื้อสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ตราสารหนี้ หรือ หุ้นกู้เอกชน และอาจเป็นการซื้อตรงหรือผ่านตลาดรองเพื่อลดความผันผวนด้านราคาและเพื่อให้ธุรกิจมีกระแสเงินสดอยู่รอดได้

     ประการที่สอง นโยบายการคลังต้องรวดเร็วและทั่วถึง ในวันที่คนขาดรายได้จากยอดขายตกหรือว่างงาน ความเชื่อมั่นหดหาย ภาครัฐสามารถเติมเงินในกระเป๋าคนได้อย่างน้อยก็เพียงพอให้ครอบครัวเขาดำรงชีพได้ในภาวะเช่นนี้ เราอาจต้องมาพิจารณารายได้ขั้นพื้นฐานที่ภาครัฐจะสามารถโอนให้หัวหน้าครัวเรือนได้แล้วเพียงพอต่อการใช้จ่าย เช่นราว 5,000 บาทต่อคนในช่วง 3 เดือนนี้ หรืออาจคิดมาตรการจ้างงาน หรือเป็นการซื้อหาอาหารหรือสินค้าที่จำเป็นแจกเองผ่านหน่วยงานของรัฐหรือชุมชน         

     นอกจากนี้ รัฐบาลอาจใช้โอกาสนี้ดึงคนกลุ่มมนุษย์เงินเดือนเข้ามาใช้เงิน ด้วยการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ใช่เพียงเพิ่มลดหย่อน และอาจทำชั่วคราวในปีนี้ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและผ่อนคลายความกังวล รวมไปถึงรัฐบาลอาจเสริมมาตรการทางการเงินด้วยการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเพื่อให้คนมีเงินพอใช้จ่ายหรือดำรงธุรกิจต่อได้ ทั้งนี้ งบการลงทุนภาครัฐน่าจะเป็นตัวหลักในการเร่งสร้างงานและผลักดันการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคในช่วงที่การลงทุนภาคเอกชนถดถอย

     ซึ่งโดยปกติแล้ว การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวมากกว่าภาวะปกติเพื่อเป็นตัวสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติที่เอกชนอ่อนแอ แต่อาจต้องแลกด้วยภาระทางการคลังที่มากขึ้นในอนาคต รวมถึงการเข้าซื้อกิจการหรืออุ้มหรือ bail out ธุรกิจที่ล้ม

     ประการที่สาม เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว เพราะไวรัสที่ระบาดมีผลต่อการทำงานและการใช้ชีวิตโดยที่เราไม่รู้เลยว่าเราจะต้องเผชิญกับภาวะเช่นนี้อีกครั้งในอนาคตหรือไม่หากไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกัน ซึ่งสิ่งที่เราทำได้คือปรับตัว เช่น หากไม่มีงานในเมืองก็ต้องสร้างงานในชุมชน หรือสร้างตลาดสินค้าและรายได้ในพื้นที่ต่างๆ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และยืดหยุ่นคล่องตัวพอจะปรับเปลี่ยนงานได้เสมอ อีกทั้งเราได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในการทำงานหรือเรียนหนังสือผ่านโปรแกรมต่างๆ ซึ่งหากเราพัฒนาต่อยอดได้ สิ่งเหล่านี้อาจช่วยลดมลพิษและสร้างงานใหม่ๆ ได้ในอนาคต

    สุดท้าย ผมอยากให้ทุกคนเรียนรู้บทเรียนภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจไทยครั้งนี้ว่า เราจะเติบโตทางเศรษฐกิจกันได้อีกครั้งเมื่อเราควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ จากการไม่ก่อหนี้จนเกินตัวและเกิดภาระทางการเงินทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจมากจนเกินไป รวมทั้งเราร่วมมือร่วมใจฝ่าฟันปัญหาไปพร้อมกันได้ จนเศรษฐกิจไทยไม่เข้าสู่เฟส 4 หรือภาวะวิกฤติครับ