'3 เหตุผล' หนุนลดดอกเบี้ย  คาด 'กนง.' หั่น 0.25% ไตรมาส 2

'3 เหตุผล' หนุนลดดอกเบี้ย  คาด 'กนง.' หั่น 0.25% ไตรมาส 2

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25  มี.ค. 2563 คณะกรรมการฯมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% พร้อมประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้หดตัวถึง 5.3% เทียบกับปีก่อน  จากการที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย การหดตัวรุนแรงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมิน กนง. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ โดยมีเหตุผลดังนี้

1. เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มหดตัวรุนแรงและมากกว่าที่คาด โดยตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) ที่ -5.3% ย้ำถึงแนวโน้มการหดตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจไทย ซึ่ง EIC มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมยังมีความจำเป็น เพื่อช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศต่อไป

2. เพื่อช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินไทยที่ตึงตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนระบาดของ COVID-19 ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย  ไม่ว่าจะเป็น  อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงขึ้น แม้ในช่วงที่ผ่านมากนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ด้วยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะติดลบถึง 1% ในปี2563 (ตามประมาณการของธปท.) ทั้งจากราคาน้ำมันที่ลดลงมากและแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ลดลงมากเช่นกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยนโยบายหักลบด้วยคาดการณ์เงินเฟ้อ) จะปรับสูงขึ้น เพราะอัตราเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยในปัจจุบันคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะอยู่ที่ 1.75%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและ corporate spread ปรับสูงขึ้น  แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและ coportate spreads จะเริ่มลดลง หลังจากมีมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับในช่วงต้นเดือน ก.พ.2563 (หลัง กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 1%) พบว่าทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและ corporate spread ปรับสูงขึ้น สะท้อน risk-premium ของสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจที่ระดมทุนผ่านหุ้นกู้มีต้นทุนในการระดมทุนสูงขึ้น อาจทำให้มีความเสี่ยงในการต่ออายุหุ้นกู้ในภาวะที่ตลาดมีสภาพคล่องลดลง

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลง  ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและครัวเรือน รวมถึงทำให้ความมั่งคั่งลดลง (wealth effect) ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการบริโภคและการลงทุนในระยะต่อไป นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว ยังทำให้การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ( IPO) ของหลายบริษัทได้ถูกเลื่อนออกไป ซึ่งสะท้อนถึงความล่าช้าเพิ่มขึ้นในการเข้าถึงแหล่งทุนนั่นเอง

สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอลงมาก โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในปี 2562ขยายตัวที่ 2% ชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัวถึง 6%  ทั้งนี้ EIC ประเมินว่าสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงอีกค่อนข้างมากในภาวะที่อุปสงค์ในประเทศหดตัวลงและความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ สถาบันการเงินมีแนวโน้มระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

ความไม่แน่นอนจากต่างประเทศสูงขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากไทย  ด้วยความเชื่อมั่นที่ลดลงทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดเงินโลกมีความผันผวนมากขึ้น สภาพคล่องในตลาดเงินโลกลดลง และราคาสินทรัพย์ทางการเงินปรับลดลงอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย โดยข้อมูล ณ วันที่ 23 เม.ย. พบว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทยทั้งสิ้น 9.9 หมื่นล้านบาท และไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์ถึง 1.1 แสนล้านบาท นับจากต้นปี 2563

3. มติการคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ไม่เป็นเอกฉันท์ (4 ต่อ 2 เสียง, กรรมการ 1 ท่านลาประชุม) โดย 2 เสียงเห็นควรให้ลดดอกเบี้ย 0.25% สะท้อนว่าในสมาชิก กนง. ยังมีมุมมองที่ประเมินว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังสามารถทำได้

EIC ประเมินว่า ความเสี่ยงจากทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัวดังกล่าวจะมีสูงในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ผลกระทบของ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยรุนแรงมากที่สุด ซึ่งน่าจะทำให้ กนง. ยังมีโอกาสพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้อีก o.25%

ในระยะต่อไปมองว่า มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐจะยังมีความจำเป็น EIC ประเมินว่า มาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อที่ ธปท. ได้ออกมาล่าสุดนั้น เป็นการลดภาระด้านรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อทั้งรายจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการได้บ้าง 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ผู้ประกอบการและครัวเรือนยังต้องเผชิญอยู่คือการขาดหายไปของรายได้ (income shock) และอุปทานของสินค้า/บริการที่ชะงักไป (supply disruption) ซึ่ง EIC ประเมินว่า เพื่อประคับประคองอุปสงค์ในประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ภาครัฐยังมีความจำเป็นต้องออกมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมโดยเฉพาะมาตรการชดเชยรายได้ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งอาจพิจารณาขยายระยะเวลาของมาตรการที่ออกไป เพิ่มวงเงินมาตรการเดิม หรือการขยายขอบเขตผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์ เป็นต้น