'เลขาฯสมช.' ชี้ฝ่าฝืนข้อกำหนดรับมือโควิด-19 ในภาวะฉุกเฉินคุก 2 ปี

'เลขาฯสมช.' ชี้ฝ่าฝืนข้อกำหนดรับมือโควิด-19 ในภาวะฉุกเฉินคุก 2 ปี

"เลขาฯสมช." เผยไม่อยากให้ปชช. ข้ามจังหวัด เว้นจำเป็นแต่ต้องถูกตรวจเข้ม แนะ "ผู้สูงอายุ-เด็กเล็ก-คนมีโรคประจำตัว" อยู่บ้านหวั่นติด "โควิด-19" อาจถึงชีวิต ชี้ฝ่าฝืนข้อกำหนดในภาวะฉุกเฉิน คุก 2 ปี

เมื่อวันที่ 26 มี.ค.63 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)หรือ ศบค. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า วันนี้เป็นการหารือถึงภาพรวมข้อกำหนดต่างๆที่มีผลบังคับใช้แล้ว และยังมีข้อกำหนดบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติจะทำการชี้แจงต่อสาธารณะ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตามด่านจุดตรวจ จะได้แจ้งอีกครั้ง อย่างกรณีการเดินทางข้ามจังหวัด ข้อเท็จจริงไม่อยากจะให้มีการข้ามที่ไหน แต่ถ้ามีความจำเป็น ต้องข้ามก็จะต้องเจอกับมาตรการที่เข้มข้น ทั้งการตรวจอุปกรณ์ในรถ การตรวจอุณหภูมิร่างกาย การตรวจบัตรประจำตัวประชาชน และถ้าตรวจพบว่ามีไข้ ก็จะส่งตรวจไปที่โรงพยาบาลทันที

เมื่อถามถึงมาตรการความเข้มข้นในการเดินทางข้ามเขตจังหวัด พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า โดยหลักการไม่ต้องการให้เคลื่อนย้ายข้ามจังหวัด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีการแพร่เชื้อจากจังหวัดสู่จังหวัด แต่ต้องการให้จำกัดการเคลื่อนไหวอยู่ในจังหวัดของตัวเอง แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องข้าม ก็จะถูกตรวจอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะความจำเป็นที่ต้องข้ามออกนอกพื้นที่ จึงขอร้องหากไม่จำเป็นอย่าเดินทางข้ามจังหวัด เช่นเดียวกับผู้สูงอายุ ก็ขอให้อยู่แต่ภายในที่พัก เพราะถ้าผู้สูงอายุติดเชื้อโรค อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต

เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ จะรู้ได้อย่างไร ว่าผู้ที่เดินทางอยู่นั้นมีอาการหรือไม่ พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวของผู้เดินทาง เพราะมาตรการที่ออกมาไม่ใช่เพื่อคนอื่น และอย่าลืมว่าผู้ที่ติดเชื้อและเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว รวมถึงเด็กเล็กก็เป็นกลุ่มเสี่ยง มาตรการที่ออกมาก็เพื่อให้คนกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้ป้องกันตัวเอง ด้วยการไม่ออกจากบ้าน และหากมีความจำเป็นจริงๆก็สามารถทำได้

พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ความเสี่ยงอีกอย่างที่น่าเป็นห่วงคือการที่ลูกหลานออกไปข้างนอกแล้วกลับมาอยู่กับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ จึงจำเป็นก็ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม อย่างไรก็ตาม สำหรับบทลงโทษ ถ้าฝ่าฝืนมาตรการและข้อกำหนดจริงๆจะรับโทษหนักจำคุก 2 ปีปรับ 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับแต่เราไม่อยากใช้มาตรการลงโทษขนาดนั้น จึงขอความร่วมมือกันก่อนให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดแต่ถ้ายังไม่เชื่อฟังกันอีกก็ต้องเพิ่มความเข้มข้น และบทลงโทษต่อๆ ไปซึ่งบทลงโทษถึงวันนี้เจ้าหน้าที่จะจริงจังแล้ว แต่ทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาว่ามีเจตนาร้ายหรือดีมากน้อยแค่ไหน

ทั้งนี้ รายงานข่าวจากที่ประชุม ศบค.เปิดเผยว่า กระทรวงต่างประเทศแสดงความเป็นห่วงตามแนวชายแดนรอบประเทศเป็นพิเศษ ว่าทุกฝ่ายจะต้องมีความระมัดระวัง และดูแลปัญหาดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะต่อกรณีการเคลื่อนย้ายของกลุ่มแรงงานต่างด้าว กลับเข้าไทยหลังเทศกาลสงกรานต์ คือจะต้องมีการคัดกรองและตรวจสอบอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทย

นอกจากนั้น ที่ประชุมศบค. ยังได้ประเมินแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยถึงวันที่ 15 เม.ย.นี้ โดยภาคประชาชนร่วมมือในการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) 80 % จะมีผู้ป่วยสะสมจำนวน 7, 745 ราย แต่หากประชาชน ร่วมมือในการเว้นระยะห่าง เพียง 50% จะมีผู้ติดป่วยสะสม 17, 635 ราย และถ้าไม่มีมาตรการป้องกันจะทำให้มีผู้ป่วยสะสมถึง 25,225 ราย