ตลท.จ่อ‘ปรับเวลา’เทรด เลี่ยงรัฐประกาศเคอร์ฟิว

ตลท.จ่อ‘ปรับเวลา’เทรด  เลี่ยงรัฐประกาศเคอร์ฟิว

ตลาดหลักทรัพย์ เล็งปรับเวลาซื้อขายหุ้นใหม่ เลื่อนปิดตลาดเร็วขึ้นในช่วงประกาศ “เคอร์ฟิว” เผยอยู่ระหว่างสำรวจความพร้อมโบรกเกอร์ ส่วน หุ้นไทยวานนี้ ดัชนีปิดพุ่ง 46 จุดรับอานิสงส์ตลาดหุ้นต่างประเทศบวกแรง

แหล่งข่าววงการตลาดทุน เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) อยู่ระหว่างหารือกับฝ่ายปฏิบัติงาน (Back Office) ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องการปรับเปลี่ยนระยะเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ กรณีที่รัฐบาลประกาศห้ามไม่ให้บุคคลใดออกนอกเคหะสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด (เคอร์ฟิว) ทำให้ต้องมีการเลื่อนระยะเวลาในการปิดซื้อขายหลักทรัพย์ให้เร็วขึ้นเพื่อให้บุคลากรในตลาดทุนสามารถกลับบ้านได้ทันเวลา

ทั้งนี้ การปรับเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาหลายรูปแบบ โดยเบื้องต้นเวลาในการเปิดซื้อขายยังคงเวลาเดิม แต่อาจเลื่อนเวลาการซื้อขายในภาคบ่าย โดยปิดตลาดให้เร็วขึ้น เพื่อเผื่อเวลาให้แบล็คออฟฟิศสามารถส่งมอบหลักทรัพย์และชำระราคาได้ทันเวลา

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ในเบื้องต้น ตลท. จะยังให้การซื้อขายภาคเช้าใช้เวลาเดิม คือ 10.00-12.30 น. และขยับเวลาการซื้อขายภาคบ่ายให้เร็วขึ้น โดยเริ่มเวลา 12.50 -14.30 น. หรือ อีกแนวทางหนึ่ง คือ ไม่มีการปิดพักการซื้อขายในช่วงเวลาเที่ยว โดยให้เปิดซื้อขายยาวตั้งแต่ 10.00-14.30 น. ซึ่งปัจจุบัน ตลท. อยู่ระหว่างสอบถามความเห็นจากโบรกเกอร์ ว่ามีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเวลามากน้อยแค่ไหน และทั้งนี้เวลาที่แน่นอนยังต้องขึ้นกับระยะเวลาการประกาศเคอร์ฟิวด้วย

158514679740

ส่วนการเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 มี.ค.) ดัชนีปิดที่ 1,080.03 จุด เพิ่ม 46.19 จุด หรือ 4.47% ด้วยปริมาณการซื้อขาย 7.49 หมื่นล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีเพิ่มขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,099.94 จุด และมีจุดต่ำสุดระหว่างวันที่ 1,050.72 จุด โดยกลุ่มดัชนีที่นำตลาดขึ้นมาในวันนี้คือกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งปรับขึ้นราว 6% ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง ก็เป็นอีก 2 กลุ่มที่ปรับขึ้นได้ 5-7%

นายสรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ราคาหุ้นบมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ( CPN) และ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์( HMPRO)วานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.60% และ 13.37% นั้น เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงหลังจากกรณีการปิดสถานที่เสี่ยงในกรุงเทพและปริมณฑล แต่จากที่คณะรัฐมนตรีประกาศใช้พระราชกำหนด(พ.ร.ก.) บริหารราชการแผ่นดินในสถาการณ์ฉุกเฉิน ทำให้นักลงทุนคลายกังวลว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ เหมือนกับจีน จากเดิมที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะจบเมื่อไหร่ประกอบกับภาวะตลาดหุ้นไทยโดยรวมปรับตัวขึ้น ทำให้มีแรงซื้อกลับ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยวานนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของตลาดสหรัฐซึ่งปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงหลังจากที่สภาฯ ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง ส่งผลให้ทั้งดัชนีตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมัน ปรับตัวขึ้นได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ในตลาดหมี (Bear Market) หากนับแต่จุดสูงสุดที่ 1,850 จุด ลงมา ตลาดพยายามเด้งกลับอยู่ 3 ครั้ง ด้วยค่าเฉลี่ยการเด้งขึ้น 8.9% เมื่อพิจารณาจากจุดต่ำสุดรอบนี้ที่ 1,035 จุด แนวต้านของตลาดหุ้นไทยจะอยู่บริเวณ 1,130 จุด ส่วนแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,200 จุด อิงกับค่าเฉลี่ย P/E 14.2 เท่า เป็นจุดที่ยังไม่น่าจะวิ่งผ่านไปได้จนกว่าการแพร่ระบาดจะคลี่คลายอย่างแท้จริง

สำหรับกลุ่มหุ้นที่ยังสามารถเข้าลงทุนได้ โดยเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสจำกัด ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มสื่อสาร กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และ กลุ่มอาหาร

ด้านนายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับขึ้นของดัชนี SET เป็นไปตามตลาดต่างประเทศ ทั้งในส่วนของมาตรการกระตุ้นของสหรัฐ และตัวเลขการเสียชีวิตในอิตาลีซึ่งทุเลาลง ขณะเดียวแต่ละประเทศได้ทยอยออกมาตรการเข้มข้นเพื่อจะหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้ตลาดคาดหวังว่าสถานการณ์หลังจากนี้น่าจะค่อยๆ ดีขึ้นแบบเดียวกับสถานการณ์ในจีนภายใน 4 สัปดาห์หลังจากนี้