'บิ๊กโรงแรม' ปิดบริการชั่วคราว ลดเสี่ยงโควิด 'ผู้เข้าพัก-พนง.'

'บิ๊กโรงแรม' ปิดบริการชั่วคราว ลดเสี่ยงโควิด 'ผู้เข้าพัก-พนง.'

เจ็บแต่จบ! วลีนี้อธิบายสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวอันหนักหนาสาหัสได้อย่างครอบคลุม พร้อมทำทุกอย่างให้สงครามการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จบลง

ล่าสุดผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ของไทยได้ออกมาตรการ “ปิดให้บริการชั่วคราว” เพื่อลดการรวมตัวของกลุ่มคนจำนวนมากทั้งแขกผู้เข้าพัก และพนักงาน หวังลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อโควิด

วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือAWCภายใต้ทีซีซีกรุ๊ปของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ระบุว่า บริษัทฯมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ และตั้งใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการควบคุมลดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เว้นระยะห่างทางสังคม และลดการเดินทางโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เพื่อดูแลพนักงานกว่าหลายพันคนในเครือ

AWC จึงขอประกาศปิดการให้บริการโรงแรมในเครือ 5 แห่งในกรุงเทพฯเป็นการชั่วคราว ประกอบด้วย โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค, โรงแรมดับเบิ้ลทรี บาย ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ, โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ, โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และโรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ ระหว่างวันที่ 26 มี.ค.–15 เม.ย.2563

ทั้งนี้ เพื่อดูแลพนักงานทั้งหมดของโรงแรมทั้ง 5 แห่งที่ปิดให้บริการชั่วคราวซึ่งมีจำนวนกว่า 2,000 คน พนักงานทั้งหมดจะยังคงได้รับค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการพนักงานตามปกติในระหว่างการหยุดงาน โดยบริษัทฯมีข้อกำหนดให้พนักงานทั้งหมดพักอยู่ที่บ้าน เลี่ยงเดินทางเคลื่อนย้ายไปยังจังหวัดอื่นๆ โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโควิด-19ตามนโยบายของภาครัฐ

พร้อมทั้งมีการจัดแผนปรับปรุง รวมทั้งการทำความสะอาดใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ (Big Cleaning)ในทั้ง 5 โรงแรมระหว่างปิดดำเนินการ เพื่อเพิ่มความมั่นใจด้านสุขอนามัยให้กับแขกผู้เข้าพัก พนักงาน ผู้มาติดต่อ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หลังกลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้ง

“AWC จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมเสมอที่จะกำหนดแนวทาง มาตรการ และนโยบายในการดำเนินการต่างๆ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแล ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดให้ความร่วมมือกับภาครัฐและองค์กรต่างๆ อย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมฝ่าฟันและผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด” วัลลภากล่าว

ด้านดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สืบเนื่องจากคำสั่งของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการสั่งปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรคโควิด-19สูง รวมถึงมาตรการปิดประเทศหรือ “ล็อคดาวน์” ในหลายประเทศที่บริษัทมีการดำเนินธุรกิจอยู่ บริษัทจึงขอเน้นย้ำว่าสุขภาพและความปลอดภัยของแขกที่เข้าพัก ลูกค้า พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจทุกคนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยทุกหน่วยธุรกิจของบริษัทมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสุขภาพในแต่ละประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกภาคส่วนมีความตื่นตัวและมีความพร้อมที่จะดำเนินตามมาตรการป้องกันที่เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม

“เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวยังคงเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน และด้วยความไม่แน่นอนในอนาคต บริษัทจึงมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อรายได้และความสามารถในการทำกำไร บริษัทจึงดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในทุกหน่วยธุรกิจและหน่วยงานสนับสนุน”

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมั่นใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และแม้ว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงในขณะนี้ แต่ยังมั่นใจว่าความต้องการจะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง โดยบริษัทคาดว่าการฟื้นตัวดังกล่าวจะรวดเร็วและเห็นได้ชัด ซึ่งจะช่วยชดเชยกับการชะลอตัวลงดังที่บริษัทได้ประสบอยู่ในขณะนี้ได้บางส่วน

ดิลิป กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อดูเฉพาะธุรกิจโรงแรมเครือไมเนอร์ฯจะเริ่มปิดโรงแรมในกรุงเทพฯหลังจากโรงแรมในกรุงเทพฯได้ปิดร้านอาหารและบาร์ไปแล้วตามข้อกำหนดของ กทม. อีกทั้งบริษัทเริ่มมีการเตรียมความพร้อมในการปิดโรงแรมในต่างจังหวัด โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการเพื่อช่วยหยุดการระบาดของโรคและช่วยป้องกันสุขภาพของแขกผู้เข้าพักในโรงแรมและพนักงาน และเป็นการลดต้นทุนในการดำเนินงาน โดยมาตรการระยะสั้นนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่จะให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ในระยะยาว

ส่วนโรงแรมในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ทวีปยุโรปและลาตินอเมริกา เพื่อลดต้นทุนและรักษาสภาพคล่องท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์ระยะสั้น โดยมีการปิดโรงแรมให้มากที่สุด เนื่องจากจำนวนแขกที่เข้าพักไม่เพียงพอต่อการเปิดดำเนินงาน โรงแรมในประเทศอิตาลีและสเปนได้ถูกปิดทั้งหมด ยกเว้นโรงแรม6แห่งในบางเมืองซึ่งได้ถูกแปลงให้เป็นโรงพยาบาล และสถานที่รองรับบุคลากรทางการแพทย์

โดยในประเทศสเปน กฎหมายใหม่ภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินกำหนดให้ปิดโรงแรมทั้งหมดในประเทศ เช่นเดียวกันในประเทศเยอรมนี กลุ่มประเทศเบเนลักซ์ และลาตินอเมริกา เอ็นเอชโฮเทลกรุ๊ปอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกลยุทธ์เดียวกัน โดยจะพิจารณาการปิดโรงแรมตามระดับของกิจกรรม อัตราการเข้าพัก และการกำหนดทิศทางของรัฐบาล