มีโอกาสฟื้นตัวทดสอบ 1200-1250 จุด ติดตามมาตรการกระตุ้นทั้งของไทยและสหรัฐ

มีโอกาสฟื้นตัวทดสอบ 1200-1250 จุด ติดตามมาตรการกระตุ้นทั้งของไทยและสหรัฐ

ความเสี่ยงทางลงเริ่มจำกัดหลังเฟดประกาศมาตรการผ่อนคลายครั้งใหญ่

ด้วยการประกาศซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงินไม่จำกัด ซึ่งรวมถึงหุ้นกู้ของภาคเอกชน ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในขั้นน่าลงทุน ทั้งในและนอกตลาด รวมทั้งจะเข้าซื้อกองทุน ETFs, หลักทรัพย์ที่มีตราสารจำนองเชิงพาณิชย์ค้ำประกัน ขณะเดียวกันเพิ่มวงเงิน 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ และสินเชื่อที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันที่ใช้ในช่วงวิกฤติการเงิน ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงตลาดครั้งใหญ่ที่สุดที่เฟดเคยทำมา

ระดับของการฟื้นตัวอาจต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการทางด้านการเงินของเฟดช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดซึ่งจะมีผลในทางช่วยจำกัดความเสี่ยงทางลง แต่ผลของไวรัสโคโรนาที่กระทบต่อเศรษฐกิจแลผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ทำให้จำเป็นจะต้องมีมาตรการที่ช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ รักษากำลังซื้อในระบบ และดูแลไม่ให้เกิดภาวะหนี้เสีย เช่น มาตรการชดเชยรายได้ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการจ้างงาน, มาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย, การผ่อนผันเรื่องภาระหนี้สิน ซึ่งหากมาตรการดังกล่าวดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวในระยะ 1 เดือนข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนควรติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกิจของรีพับริกันที่อยู่ระหว่างพิจารณา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยของคาดครม.จะพิจารณาในวันนี้

คาดมีโอกาสฟื้นตัวทดสอบ 1,200-1,250 จุด แต่มีโอกาสผันผวนระหว่างทาง จากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่เร่งตัวขึ้น โดยอัตราการติดเชื้อของไทยในปัจจุบันอยู่ในอัตราเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุก 3 วัน และมีความใกล้เคียงอังกฤษ ซึ่งทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อมีโอกาสเพิ่มขึ้นไปในระดับ 3,000-4,000 ราย (หากเรามีจำนวนชุดทดสอบพอที่จะตรวจ) ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันให้รัฐอาจต้องดำเนินมาตรการเข้มข้นขึ้น ซึ่งจะวนสะท้อนกลับมากดดันผลประกอบการได้

ภาพรวมกลยุทธ์ ลุ้นฟื้นตัวระดับ 200 จุด ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอังคารนี้ โดยเฉพาะหลักประกันผู้มีรายได้น้อยหรือได้รับผลกระทบ Covid-19 (ชดเชยรายได้) อาจบวกต่อ CPALL การลงทุนเน้นทยอยสะสมกลุ่มรายได้มั่นคง ที่มีผลตอบแทนปันผลจับต้องได้ อาทิ สื่อสาร ไฟฟ้า ซึ่งมีโอกาสเป็นเป้าหมายการเพิ่มน้ำหนักของนักลงทุนสถาบัน  // หุ้นแนะนำวันนี้ ซื้อ ADVANC*, SCC* / ทยอยสะสม BPP*, INTUCH, CPF*, CPALL*

แนวรับ 1,020 / แนวต้าน : 1,100 จุด สัดส่วน : เงินสด 70% : พอร์ตหุ้น 30%.

ประเด็นการลงทุน

**หุ้นที่ลดลงมากสุด YTD – หลายตัวมีโอกาสเป็นเป้าหมายการซื้อคืน recovering target ได้แก่ ERW (-63%),PSL (-62%), PLANB (-61%), TOP (-61%), MINT    (-61%), SPRC (-60%), TMB (-59%), ESSO (-59%), BANPU (-59%), PTTGC (-55%), PTTEP (-54%), AMATA (-54%), MAJOR (-53%), SCB (-52%)

สหรัฐฯใกล้บรรลุดีลมาตรการเยียวยาผลกระทบ Covid-19 รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เผยว่า พรรคเดโมแครต และ รีพับลิกัน ใกล้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาชาวอเมริกันและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19

ส่งออกไทยเดือน ก.พ. หดตัว 4.47% กระทรวงพาณิชย์ รายงาน ตัวเลขส่งออกไทย เดือน ก.พ.63 อยู่ที่ 2.064 หมื่นล้านเหรียญฯ หดตัวลง 4.47% จากที่ตลาดคาดว่าจะหดตัวลง 11 ถึง 10.9% ขณะที่ นำเข้ามีมูลค่า 1.674 หมื่นล้านเหรียญฯ หดตัว 6.32% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 2.341 พันล้านเหรียญฯ

กลุ่มโรงแรม – MINT และ AWC เริ่มดำเนินการปิดโรงแรมในกทม.เป็นการชั่วคราว ขณะที่ AWC มอบส่วนลดค่าเช่ารายเดือน 50% สำหรับช่วง 1 มี.ค.-30 เม.ย.63

CPNREITปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 2 / พระราม 3/ ปิ่นเกล้า / เชียงใหม่ แอร์พอร์ต / เป็นการชั่วคราว 22 มี.ค.-12 เม.ย.

ค่าระวางเรือ – ล่าสุดอยู่ที่ 617 เปลี่ยนแปลง -8.00 หรือ -1.28%

ประเด็นติดตาม: 24 มี.ค. – EU manufacturing Index เดือน มี.ค. / 25 มี.ค. ประชุม กนง. / 26 มี.ค. – BOE meeting / 31 มี.ค. ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)