ป้องกันไวรัส

เปิดวิธีดูแลตัวเองและทำความสะอาดรถยนต์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า

ทำไปทำมาไวรัสโควิด-19 ก็กลายมาเป็นตัวแปรสำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจใดๆ ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ในแวดวงธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ ก็มีผลกระทบในวงกว้างไปถ้วนหน้า โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้น หากจะมองกันอย่างเป็นธรรมแล้วก็ต้องบอกว่ามีผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อประชาชนที่เป็นผู้บริโภค

โดยผลกระทบด้านลบนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บในวงกว้างอย่างคิดไม่ถึง มีการระบาดรวดเร็วและกว้างขวางมากกว่าโรคระบาดใดๆ ที่เคยเกิดขึ้น เพราะไม่สามารถตรวจหาคนที่เป็นพาหะนำเชื้อไปแพร่ได้อย่างถูกต้อง ด้วยว่าคนที่ได้รับเชื้อไปแล้วอาจจะยังไม่มีอาการขึ้นทันที ต่อให้ไปตรวจจากสถานบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานแล้วก็ตาม แม้ว่าผลตรวจจะออกมาเป็นลบหรือไม่ปรากฏว่ามีไวรัส แต่ในความเป็นจริง คือขณะนั้นไวรัสได้อยู่ในตัวบุคคลผู้นั้นแล้ว แต่เชื้อยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมาให้ตรวจพบ แต่ก็พร้อมที่จะแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้ทันที

แต่แม้ว่าจะมีการระบาดออกไปได้รวดเร็วและขยายวงได้กว้าง ทางการแพทย์ของทั้งประเทศไทยและขององค์การอนามัยโลก ก็ออกมาชี้แจงว่า การรักษาพยาบาลของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน หรือยุ่งยากเกินจะรับมือไหว เพราะสามารถรักษาไปตามอาการคล้ายกับ ที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ได้ ปัญหาใหญ่จึงอยู่ที่การยับยั้งการระบาดเท่านั้น โดยในทางทฤษฎีหากต้องการให้ได้ผลจริง คนทั้งโลกต้องพร้อมใจกัน อยู่ในพื้นที่กักกันเฝ้าระวังเป็นเวลาไม่เกิน 14 วัน พร้อมๆ กัน ซึ่งในทางปฏิบัติจริงไม่สามารถทำได้ง่ายๆ

กระนั้นก็ดีประเทศไทยยังถือว่าโชคดี และได้ทีมแพทย์ที่มีความสามารถสูงมากในอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้สามารถสกัดการระบาดเอาไว้ได้ แม้ว่าในระยะแรกจะมีคนติดเชื้อในอันดับต้นๆ ของโลก และทีมแพทย์เองก็มีวิธีการรักษาที่ได้ผล ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นเพียงแค่รายเดียวเท่านั้น จากจำนวนผู้ติดเชื้อ นับถึงวันที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ร้อยกว่ารายเข้าไปแล้ว และสิ่งที่ผมได้บอกว่า เป็นโชคดีของไทยอีกประการหนึ่งก็คือข้อมูลจากทางการแพทย์ระบุว่า ไวรัสโควิด-19 นั้นชอบอยู่กับอากาศที่หนาวเย็นและชื้น เมื่อต้องมาเจอความร้อนและแสงแดดจ้าก็จะตาย ไม่สามารถแพร่กระจายหรือระบาดออกไปได้

เมื่อได้รู้ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ผู้ใช้รถยนต์ทั้งหลายจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง และหาประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวให้ได้ เช่น เมื่อต้องขับรถและมีผู้โดยสารอื่น อยู่ร่วมรถด้วยก็ต้องพยายามเปิดหน้าต่างระบายอากาศภายในรถออกไปบ้าง ลมหายใจของผู้ที่อยู่ร่วมรถแต่ละคนจะได้ไม่ออกมาฟุ้งกระจายแพร่เชื้อใส่กัน ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการเปิดแอร์สลับกับปิดแอร์ และเปิดหน้าต่างเป็นระยะๆ หรือกรณีที่มีผู้โดยสารร่วมรถด้วยอาจจะใช้วิธีการปิดแอร์และเปิดหน้าต่างตลอดการเดินทาง ซึ่งต้องแลกกับการอดทนกับอากาศร้อนบ้างด้วยก็ได้

รือเมื่อไม่ต้องใช้รถและจอดรถไว้ในที่ปลอดภัยต่อการโจรกรรม ก็ให้จอดรถทิ้งไว้กลางแจ้งที่มีแสงแดดจ้า โดยอาจจะเปิดกระจกหน้าต่างรถทุกบานเอาไว้บ้าง หรือรถยนต์ที่มีซันรูฟหรือแผงเปิดหลังคาก็อาจจะเปิดหลังคาด้วยก็ได้ 

ส่วนคนที่ไม่มีโอกาสดังกล่าว ก็ยังสามารถทำได้ด้วยการเปิดประตูหรือหน้าต่างรถทุกบานอย่างน้อยสักช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อจอดรถยนต์เอาไว้ในบ้าน และหมั่นทำความสะอาดรถและทำลายความเปียกชื้นเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เช่น รื้อพรมปูพื้นออกมาตากแดดร้อนๆ จากนั้นใช้ไดร์เป่าผมเข้าไปเป่าให้ความร้อนตามซอกหลืบในห้องโดยสาร และห้องเก็บของในตัวรถ และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ 70 หรือใช้น้ำยาฆ่าเชื้ออื่นใดตามที่กรมควบคุมโรคติดต่อแนะนำเช็ดถูอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องโดยสารอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือทำเป็นประจำทุกวัน

ส่วนผู้ใช้รถยนต์ท่านใดที่มีถังสำหรับทิ้งขยะภายในรถ ก็ต้องหมั่นทิ้งขยะบ่อยๆ โดยเฉพาะขยะประเภทกระดาษชำระหรือทิชชู่ที่ใช้เช็ดน้ำมูก หรือน้ำลาย หรือใช้ป้องปากเมื่อไอหรือจามต้องทิ้งด้วยการปิดปากถุงขยะให้สนิท แล้วนำไปทิ้งในถังขยะนอกรถ จากนั้นก็ต้องทำความสะอาดรถตามคำแนะนำก่อนหน้านี้อย่างสม่ำเสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ประจำรถที่ต้องสัมผัสกันตลอดเวลา เช่น พวงมาลัย, กลอนเปิดและปิดประตูรถ, ปุ่มหรือสวิทช์ที่ใช้ประจำ เช่น สวิทช์ไฟเลี้ยว, แพดเดิ้ลชิพท์สำหรับเปลี่ยนเกียร์, หัวเกียร์, คันจับเบรกมือ, สวิทช์สตาร์ท ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องผ่านการเช็ดถูหรือ ฆ่าเชื้อเป็นประจำเพื่อความปลอดภัยของคนใช้รถที่ทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถ

เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องจับหรือสัมผัสกับสิ่งอื่นใด เช่น ต้องจับหัวเติมลม หรือสายยางของระบบเติมลมตามสถานีบริการน้ำมัน ให้สวมถุงมือทุกครั้ง หรืออย่างน้อยต้องมีกระดาษชำระหรือผ้ามาคั่นระหว่างมือและอุปกรณ์นั้นๆ เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าก่อนหน้าที่เราจะใช้อุปกรณ์นั้น มีใครที่มาใช้หรือสัมผัสก่อนหน้าเราหรือไม่ และคนผู้นั้นอยู่ในสถานะที่เป็นพาหะในการแพร่เชื้อหรือไม่

เราจึงต้องทำการป้องกันและระมัดระวังในส่วนของเราเอาไว้ก่อน จึงจะเป็นการตัดตอนการแพร่เชื้อของไวรัสที่ดีที่สุดครับ