‘โกลด์แมน แซคส์’ เตือนโควิด-19 วิกฤติสุดใน 8 สัปดาห์หน้า

‘โกลด์แมน แซคส์’ เตือนโควิด-19 วิกฤติสุดใน 8 สัปดาห์หน้า

‘โกลด์แมน แซคส์’ เตือนโควิด-19 วิกฤติสุดใน 8 สัปดาห์หน้า หลังจากนั้น สถานการณ์จึงจะคลี่คลาย ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัวแค่ 2%

โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ เตือนนักลงทุนว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 น่าจะเข้าสู่ช่วง “วิกฤติสุด” ในระยะ 8 สัปดาห์ข้างหน้านี้ หลังจากนั้น สถานการณ์จึงจะคลี่คลาย ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัวแค่ 2% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 30 ปี ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ของสหรัฐ ในภาพรวมปี 2563 จะมีอัตราเติบโตเป็นลบระหว่าง -15% ถึง -20% แต่เชื่อว่าตลาดจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ภายในช่วงครึ่งหลังของปี

ในการบรรยายสรุปให้นักลงทุนซึ่งมี 1,500 บริษัทเข้าร่วมรับฟังผ่านการประชุมทางโทรศัพท์เมื่อวันจันทร์ (16 มี.ค.) มีข้อสังเกตและประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่โกลด์แมน แซคส์ พูดถึงดังนี้

1. คาดว่าจะมีชาวอเมริกันจะป่วยเป็นโรคโควิด-19 ประมาณ 50% หรือคิดเป็นจำนวน 150 ล้านคน เนื่องจากสหรัฐมีประชากร 329.45 ล้านคน นับจนถึงปี 2562) เนื่องจากเป็นโรคติดต่อได้ง่ายจากคนสู่คน พอๆกับโรคหวัดทั่วไปที่เกิดจากไวรัสมากกว่า 200 สายพันธุ์ และโดยปกติชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อหวัดปีละ 2-4 ครั้งอยู่แล้ว

ขณะที่สถานการณ์ในเยอรมนีดูจะรุนแรงกว่า โดยคาดว่าอาจจะมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ถึง 70% หรือประมาณ 58 ล้านคน ถือเป็นประเทศอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก

2. ช่วงวิกฤติสุด หรือช่วงพีค (Peak) ของการแพร่ระบาดน่าจะอยู่ในช่วง 8 สัปดาห์ข้างหน้านี้ หลังจากนั้นสถานการณ์จะคลี่คลายลง และเป็นไปได้ว่าความรุนแรงของการแพร่ระบาดอาจจะเป็นไปตามฤดูกาล ข้อสังเกตคือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลุกลามหนักในประเทศที่อยู่แถบละติจูด 30 ถึง 50 องศาเหนือ หมายความว่าไวรัสชอบสภาพอากาศหนาวเย็นเหมือนไวรัสไข้หวัดทั่วไปและไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น ฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงในประเทศแถบเหนือของเส้นศูนย์สูตรจึงน่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น

3. สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแล้ว อาจแบ่งเป็น 3 ระยะ เชื่อว่า 80% ของผู้ติดเชื้อยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ขณะที่ 15% อยู่ในระยะกลาง และ 5% ในระยะวิกฤติ อาการของระยะเริ่มต้นจะเหมือนกับผู้ที่เป็นหวัดทั่วไป ส่วนระยะกลางอาการจะคล้ายกับผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ นั่นหมายถึงกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ควรกักกันตัวเอง และหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ส่วนผู้ติดเชื้อระยะวิกฤติ 5% นั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงวัย

4. อัตราการตายจากโรคโควิด-19 อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 2% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยและผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากคิดออกมาเป็นตัวเลข ก็แปลว่าอาจมีผู้เสียชีวิตได้มากถึง 3 ล้านคน ปกติในสหรัฐ มีประชากรเสียชีวิตด้วยวัยชราและโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ประมาณปีละ 3 ล้านคน โดยตัวแปรความชราและการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กันมาก ด้วยความคาบเกี่ยวกันของตัวแปรต่าง ๆ จึงไม่ได้หมายความว่าจะมีผู้เสียชีวิตรายใหม่ 3 ล้านคนจากเชื้อไวรัสนี้ แต่หมายความว่า คนสูงวัยอาจจะเสียชีวิตเร็วขึ้นจากโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศเป็นอย่างมาก

5. มีการถกเถียงกันอย่างมากว่าจะจัดการกับปัญหาไวรัสแพร่ระบาดนี้อย่างไรในบริบทที่ยังไม่มีวัคซีนออกมาแก้ไวรัส ในสหรัฐ ดูเหมือนจะเน้นไปที่การกักตัวผู้ติดเชื้อออกจากคนหมู่มาก ขณะที่อังกฤษ เน้นไปทางการปล่อยให้เชื้อไวรัสแพร่ไปมาก ๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ผู้คนจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ตอนนี้ดูเหมือนว่า วิธีการกักตัวจะไม่ประสบผลและกลับสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ก็ช่วยชะลอการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งการชะลอดังกล่าวหมายความว่าระบบสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ จะมีเวลาในการรับมือมากขึ้น

6. เศรษฐกิจของจีนได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งทำให้มีผลต่อไปยังระบบห่วงโซ่การผลิตและวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการผลิต กว่าที่จะฟื้นตัวได้คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน ส่วนเศรษฐกิจโลก ซึ่งวัดกันด้วยจีดีพี อาจจะขยายตัวในอัตราประมาณ 2% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 30 ปี

7. ดัชนีเอสแอนด์พี 500 โดยภาพรวมในปีนี้ จะมีอัตราเติบโตเป็นลบ ที่อัตรา -15% ถึง -20%

แน่นอนว่าจะมีความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสครั้งนี้ แต่ความเสียหายที่แท้จริงส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากจิตวิทยาในตลาด (ความรู้สึกมั่นใจหรือความตื่นตระหนก) เชื้อไวรัสต่าง ๆนั้นอยู่คู่กับมนุษย์เรามาตลอดอยู่แล้ว โกลด์แมน แซคส์ เชื่อว่าตลาดหลักทรัพย์น่าจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ภายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

8. ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผลกระทบจาก 2 เหตุการณ์รวมกันคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสกับสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย แม้ว่าราคาเชื้อเพลิงที่ลดลงโดยทั่วไปแล้วจะเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประเทศอุตสาหกรรมอย่างสหรัฐนั้น อีกบทบาทหนึ่งก็เป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันลดลงก็มีผลกระทบทางลบต่ออุตสาหกรรมพลังงานในสหรัฐด้วยเช่นกัน รวมทั้งมูลค่าหุ้นของบริษัทในกลุ่มพลังงาน ผลกระทบนี้ จะลากยาวไปอีกระยะหนึ่งโดยในฝั่งรัสเซียนั้นจะมีความพยายามสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันจากชั้นหินใต้ดินของสหรัฐ ขณะที่ซาอุฯเองก็พยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดของตัวเองเอาไว้ ไม่ต้องการให้รัสเซียหรือสหรัฐมาช่วงชิงไป

โดยทางเทคนิค ภาพรวมของตลาดเวลานี้กำลังมองหาจังหวะที่จะปรับสภาพตัวเองใหม่ (reset) หลังจากที่อยู่ในภาวะกระทิง (bull market) ดัชนีพุ่งขึ้นต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา

โกลด์แมนฯ สรุปว่า ขณะนี้ไม่มีความเสี่ยงต่อระบบ ปัจจุบัน รัฐบาลหลายประเทศกำลังเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อทำให้มีสเถียรภาพมากขึ้น และในส่วนของไพรเวต แบงกิ้ง (private banking sector) ซึ่งเป็นบริการทางการเงินสำหรับลูกค้าคนสำคัญ หรือบริการบริหารสินทรัพย์ ก็ถือว่ามีการดำรงเงินกองทุนเอาไว้อย่างแข็งแกร่งมาก ถ้าจะเปรียบเทียบสถานการณ์ในตลาดขณะนี้ก็น่าจะคล้ายๆในช่วงเหตุการณ์ 9/11 (ที่ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในสหรัฐ) มากกว่าช่วงเหตุการณ์วิกฤติการเงินโลกในปี 2551