'11 บจ.' ทุ่ม 4.5 หมื่นล้าน ซื้อหุ้นคืน ‘ซีพีเอฟ’ เปิดโครงการรอบสอง

'11 บจ.' ทุ่ม 4.5 หมื่นล้าน ซื้อหุ้นคืน ‘ซีพีเอฟ’ เปิดโครงการรอบสอง

“11 บจ.” ลุยซื้อหุ้นคืน ช่วงดัชนีรูดหนัก ล่าสุด “ซีพีเอฟ” ประกาศทุ่ม 1 หมื่นล้าน เข้าโครงการซื้อหุ้นคืนอีกครั้ง แม้ 4 ปีก่อน เปิดโครงการนี้มาแล้วรอบหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าซื้อเลย เหตุราคาหุ้นเวลานั้นสูงกว่าเป้าหมาย

บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF แจ้งอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท โดยกำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 4.65% ของหุ้นทั้งหมด โดยกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 30 ก.ย. 2563

ทั้งนี้ CPF เคยดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนมาแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อ 24 ส.ค. 2558 โดยในเวลานั้นบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน 400 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.17% ของหุ้นทั้งหมด โดยใช้วงเงิน 10,000 ล้านบาท เช่นกัน ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 10 ก.ย. 2558 – 9 มี.ค. 2559

อย่างไรก็ตาม การประกาศซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ บริษัทไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด เนื่องจากราคาหุ้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าราคาเป้าหมาย สำหรับราคาหุ้นของ CPF ในช่วงระหว่างระยะเวลาซื้อหุ้นคืนครั้งก่อนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 16.40 – 22.70 บาท โดยราคาหุ้นก่อนหน้านั้นปรับตัวลดลงมาจากราว 33 บาท ในช่วงปลายปี 2557

158436741370

นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป เปิดเผยว่า การประกาศซื้อหุ้นคืนโดยภาพรวมแล้วจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน ส่วนการจะใช้หรือไม่ใช้สิทธิซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ของ CPF คงจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นเป็นหลัก ขณะนี้ราคาก็ถือว่าค่อนข้างต่ำมากแล้ว และหากว่าราคายังคงลดลงไปต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะซื้อหุ้นคืน

พร้อมกันนี้ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ หรือ SGP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเช่นกัน วงเงินสูงสุดไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนไม่เกิน 91 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 5% ของหุ้นทั้งหมด กำหนดเวลาซื้อคืน 27 มี.ค. - 26 ก.ย. 2563

นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พบว่ายังมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีก 9 แห่ง ที่ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน รวมมูลค่าวงเงินที่ทั้ง 11 บริษัทในขณะนี้ประกาศซื้อหุ้นคืนอยู่ที่ 45,260 ล้านบาท

โดย 2 ใน 9 บริษัท คือธนาคารขนาดใหญ่อย่าง ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 4,600 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 14 – 27 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยบริษัทซื้อหุ้นคืนไปทั้งสิ้น 23.93 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 134 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 3,207.96 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 16,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มซื้อหุ้นคืนในวันที่ 20 เม.ย. จนถึง 19 ต.ค. 2563

ขณะที่ บมจ.เซ็นทรัล พัฒนา หรือ CPN ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้ทำการซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 7.36 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 46.76 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 344.55 ล้านบาท 

บมจ.ช.การช่าง หรือ CK ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังไม่ได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนแต่อย่างใด จากการกำหนดระยะเวลาซื้อคืนระหว่าง 2 มี.ค. – 1 ก.ย. 2563

บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ หรือ BPP ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 2,500 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้ทำการซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 6.5 แสนหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 12 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 7.8 ล้านบาท

บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 2,000 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้ทำการซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 94.86 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 16.15 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 1,531.27 ล้านบาท

บมจ.ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 800 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้ทำการซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 72.03 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 1.33 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 95.95 ล้านบาท

บมจ.แกรททิทูด อินฟินิท หรือ GIFT ประกาศซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 210 ล้านบาท โดยจะเริ่มซื้อหุ้นคืนระหว่างวันที่ 20 เม.ย. – 29 เม.ย. 2563

รวมถึง บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป หรือ TFG ทำการแจ้งตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 13 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา วงเงินไม่เกิน 150 ล้านบาท จะซื้อคืนไม่เกิน 38 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.68% ของหุ้นทั้งหมด โดยจะซื้อคืนระหว่าง 30 มี.ค. - 29 ก.ย. 2563