โบรกชูหุ้น‘โรงไฟฟ้า’ลดค่าไฟไม่กระทบ

โบรกชูหุ้น‘โรงไฟฟ้า’ลดค่าไฟไม่กระทบ

“หุ้นโรงไฟฟ้า” รูดหนัก หลัง ครม. ไฟเขียวลดค่าไฟ 3% ช่วงเม.ย.-มิ.ย.นี้ พร้อมตรึง “ค่าเอฟที” ด้าน “นักวิเคราะห์” ฟันธงผลกระทบน้อย เหตุต้นทุนน้ำมันลด พร้อมแนะ “ซื้อ” หลังราคาดิ่งแรง ด้าน “กัลฟ์” ยืนยันกระทบเล็กน้อย แค่ 50 ล้าน

หลังจาก คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติ “ลดค่าไฟฟ้า” ในอัตรา 3% ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทเป็นเวลา 3 เดือน(เม.ย.-มิ.ย.63) พร้อมกับคงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร(FT) ในเดือนพ.ค.2563 ที่ 0.1160 บาทต่อหน่วย ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(SPP) ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมน้อยลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่ลดลงตาม

มติครม.ดังกล่าว สะเทือน “หุ้นโรงไฟฟ้า” อย่างหนักในวานนี้(11มี.ค.) โดย “5 หุ้น” ที่ร่วงแรงสุด คือ บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM )ลดลง 13.29% มาปิดที่ 37.50 บาท รองมา บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF)ลดลง 10.09% ปิดที่ 151.50 บาท บมจ.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)ลดลง 8.40% ปิดที่ 57.25 บาท , บมจ.ผลิตไฟฟ้า(EGCO) ลดลง 2.90% ปิดที่ 234.00 บาท และ บมจ.ราช กรุ๊ป( RATCH ) ลดลง 2.14% ปิดที่ 57.25 บาท

    “อรมงคล ตันติธนาธร” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลดลงนั้น เนื่องจาก ครม. มีมติลดค่าไฟฟ้า ส่งผลต่อผลดำเนินงานของหุ้นกลุ่มนี้ที่ลดลง เพราะทำให้ราคาขายไฟของ SPP   ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมลดลง โดยบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้โรงไฟฟ้า SPP มากสุด คือ  BGRIM รองมาคือ GPSC และ GULF ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ลดลง ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงเช่นกัน จึงคาดว่าจะกระทบต่อผลการดำเนินงานไม่มาก แต่หากรัฐบาลมีการปรับลดค่าไฟฟ้าลงมากกว่านี้และระยะเวลานานทำให้บริษัทต้องมีการปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายกลุ่มนี้ลงอีก หลังจากเมื่อวันที่ 10 มี.ค. บริษัทได้ปรับลดกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าปี 2563 และปี 2564 ลง เป็น 5.03 หมื่นล้านบาท และ 5.87 หมื่นล้านบาท ให้สะท้อนค่าเงินบาทพลิกมาอ่อนค่า ปรับลดค่า FT

สำหรับคำแนะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ( IPP)สูง เช่น GULF ,RATCH และถึงแม้ BGRIM จะมีสัดส่วนโรงไฟฟ้า SPP ที่สูงแต่ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลดลงมากในวานนี้ ซึ่งมองว่าสะท้อนปัจจัยดังกล่าวมากเกินไป จึงแนะนำซื้อได้ แต่หากนักลงทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้แนะนำให้ชะลอลงทุน

 “ยุพาพิน วังวิวัฒน์” กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน  GULF กล่าวว่า ราคาหุ้น GULF ที่ปรับตัวลดลงน่าจะเกิดจากความวิตกกังวลของนักลงทุนเรื่องการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (FT) ของภาครัฐ ต่นักลงทุนวิตกจนเกินไป  เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทน้อยมากเพียง50 ล้านบาท คิดเป็น 1.02 % เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทในปี 2562 ที่ 4,887 ล้านบาทเพราะปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายไฟให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กว่า 90% และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสัดส่วนเพียง 10%

ทั้งนี้ในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง คาดว่าจะส่งผลดีให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนโรงไฟฟ้าของบริษัทลดลงตามไปด้วย ซึ่งเมื่อเทียบกับสัดส่วนยอดขายไฟที่ได้รับผลจากค่า FT ที่ปรับตัวลดลงก็คาดว่าก็แทบจะไม่มีผลกระทบต่อบริษัทเลย นอกจากนี้หากโครงการโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตรวม 5,000 เมกะวัตต์ (MW) ก่อสร้างแล้วเสร็จ จะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนการขายไฟให้กับทางกฟผ.เพิ่มขึ้นเป็น 95% และสัดส่วนกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงมาอยู่ที่ระดับเพียง 5%