พาณิชย์ชี้ช่อง ใช้เอฟทีเอนำเข้า 'หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และวัตถุดิบ' สู้โควิด 19

พาณิชย์ชี้ช่อง ใช้เอฟทีเอนำเข้า 'หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และวัตถุดิบ' สู้โควิด 19

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ แนะผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ หาแหล่งนำเข้าสินค้าราคาถูก ทั้ง หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และวัตถุดิบที่ใช้ทำหน้ากากอนามัย ให้ต้นทุนถูกลง และช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนในประเทศ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส เช่น หน้ากากอนามัย (surgical masks) และเจลล้างมือ (hand sanitizers) รวมถึงกลุ่มสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าข้างต้น มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตและแสวงหาแหล่งนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม ซึ่งการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการไทยและผู้ผลิตไทยสามารถเข้าถึงสินค้าและวัตถุดิบจากแหล่งที่หลากหลายได้มากขึ้น

“หากผู้ประกอบการต้องการนำเข้าสินค้าตามที่กล่าวมา ก็สามารถขอใช้สิทธิภายใต้เอฟทีเอ เสียภาษีนำเข้าในอัตราที่ถูกลง ทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าถูกลง หรือทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าลดลง ซึ่งปัจจุบันแม้ว่าประเทศต่างๆ อาจประสบปัญหาขาดแคลนสินค้าและวัตถุดิบเช่นกันจากวิกฤติการระบาดของโควิด-19 แต่ก็อาจมีบางประเทศที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และอาจมีกำลังผลิตพอที่จะส่งออกให้ไทยได้ ซึ่งการนำเข้าจะช่วยเพิ่มปริมาณสินค้าในประเทศ และช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนได้ด้วย”นางอรมนกล่าว

158390444231              

นางอรมน กล่าวว่า   ภายใต้ความตกลงเอฟทีเอที่ไทยมี 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ได้แก่ สมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปรู ชิลี และฮ่องกง ซึ่งไทยได้ลดเลิกภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยหน้ากากอนามัย ไทยได้ยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้ากับ 16 ประเทศแล้ว ยกเว้น อินเดียคงภาษี 5 %  และฮ่องกง คงภาษี 8% ส่วนเจลล้างมือ ไทยยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้ากับ 17 ประเทศคู่เอฟทีเอ ยกเว้น ฮ่องกงคงภาษี 3%  และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ซึ่งมีผ้าชนิดไม่ถักไม่ทอเป็นวัตถุดิบหลัก โดยภายใต้ความตกลงเอฟทีเอทุกฉบับ ไทยได้ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือศูนย์แล้ว

สำหรับประเทศที่ไทยไม่มีเอฟทีเอด้วย ไทยได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าหน้ากากอนามัยจากประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ที่ 10 % สินค้าเจลล้างมือ ระหว่าง 0-10 % วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย เช่น ผ้าชนิดไม่ถักไม่ทอหรือผ้าสปันบอนด์ ที่ร้อยละ 5 ส่วนเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ไทยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเป็นศูนย์แล้ว

 

    158386655018            

ทั้งนี้ ในปี 2562 ไทยนำเข้าสินค้าหน้ากากอนามัยประมาณ 6 แสนดอลลาร์มีจีนเป็นตลาดนำเข้าอันดับหนึ่ง ด้วยสัดส่วนสูงถึง 94%  ตามด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ และจีนไทเป และไทยส่งออกสินค้าหน้ากากอนามัย มูลค่า 4.5 หมื่นดอลลาร์ มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ กัมพูชา มัลดีฟส์ สหรัฐฯ สปป.ลาว และอินเดีย ส่วนเจลล้างมือ นำเข้ามูลค่า 564 ล้านดอลลาร์ มีตลาดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเยอรมนี โดยไทยส่งออกสินค้าเจลล้างมือ มูลค่า 345 ล้านดอลลาร์ มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย สหรัฐฯ และเวียดนาม ขณะที่วัตถุดิบที่ใช้ทำหน้ากากอนามัย ไทยนำเข้าผ้าชนิดไม่ถักไม่ทอ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตหน้ากากอนามัยรวม 162 ล้านดอลลาร์ ตลาดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และจีนไทเป และไทยส่งออกสินค้าผ้าชนิดไม่ถักไม่ทอ มูลค่า 256.5 ล้านดอลลาร์ มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม สหรัฐฯ และอินเดีย

สำหรับวัสดุที่นิยมใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ได้แก่ ผ้าชนิดไม่ถักไม่ทอ (Nonwoven Fabric) ใน 2 ลักษณะ คือ ผ้า สปันเลส ซึ่งมีลักษณะอ่อนนิ่มและโค้งงอคล้ายผ้า และผ้าชนิดเมลต์โบลน ซึ่งมีเส้นใยที่เล็กละเอียดในระดับนาโนเมตรไมโครเมตร ซึ่งใช้เป็นแผ่นกรอง (Filter Sheets) หลังจากนั้นจะนำผ้ามาเชื่อมกันด้วยวิธีอัลตร้าโซนิค เพื่อให้กรองเชื้อโรคได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเจลล้างมือหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือแบบไม่ต้องล้างน้ำออก มีส่วนประกอบสำคัญ คือ แอลกอฮอล์ อาจมีสารฆ่าเชื้อ สารที่ทำให้เกิดสภาพเจล (gelling agent) สารให้ความชุ่มชื้น (emollients) และน้ำหอม