'วายดีเอ็มฯ' ชี้เศรษฐกิจชะลอ ลูกค้าเบรกใช้จ่าย ฉุดสื่อดิจิทัลทรุดรอบ 6 ปี
การขยายอาณาจักรสร้างการเติบโต เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญ ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้มีแตกต่างไป “วายดีเอ็ม” ดิจิทัล เอเยนซี ชื่อบ่งบอก “จุดแข็ง”และเชี่ยวชาญทำตลาดดิจิทัล เมื่อโลกไม่มีรอยต่อ “ออฟไลน์-ออนไลน์” ทำให้การเสริมศักภาพต้องทำต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา แวดวงเอเยนซีเห็นการซื้อขายและควบรวมกิจการกันเป็นระยะ ส่วนหนึ่งเพราะ “รายใหญ่” ซึ่งบริษัทในเครือมากมายทำงานโฆษณา สื่อสารการตลาดแบบเดิม ครั้นจะเปลี่ยนผ่านหรือ “ทรานส์ฟอร์มองค์กร” ไปสู่ดิจิทัล มีความยาก เคลื่อนตัวช้า จึงต้องปรับนโยบาย “ยุติ” บทบาทบางบริษัท และหันไปสร้างทีมหรือหน่วยธุรกิจใหม่ดีกว่า
ขณะที่ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา วายดีเอ็ม ได้ซื้อกิจการ “มัลเลนโลว์” ในเครือของ IPG กลุ่มธุรกิจเอเจนซียักษ์ใหญ่ระดับโลก พร้อมรีแบรนด์เป็น “มัลเลนโลว์ แบงค็อก”
ทั้งนี้ มัลเลนโลว์เข้ามาเสริมทัพถือเป็นการอุด “ช่องโหว่” ให้วายดีเอ็มฯ ที่เคยถูกลูกค้าจู่โจมเรื่อง “ครีเอทีฟ” ส่วนทิศทางธุรกิจจากนี้จะเป็นอย่างไร ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ฉายภาพว่า บริษัทมีทีมงาน ถนัดและเชี่ยวชาญการทำตลาดออนไลน์ ขณะที่การทำตลาดออฟไลน์ไม่ได้ถนัดมากนัก ดังนั้นการได้มัลเลนโลว์มาอยู่ในเครือจึงทำให้บริษัทมีบริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าครบวงจรในจุดเดียว
ก่อนหน้านี้ บริษัทมี FCB Bangkok เป็นหัวหอกให้บริการตลาดออฟไลน์แก่ลูกค้าอยู่แล้ว การมีมัลเลนโลว์ จะไม่ซ้ำซ้อนในด้านการทำงาน เพราะ “ลูกค้า” ที่อยู่ในมือแต่ละรายแตกต่างกัน เช่น FCB Bangkok เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ(สกินแคร์) เช่น นีเวีย ของไบเออร์สด๊อรฟ ขณะที่มัลเลนโลว์เป็นกลุ่มเครื่องใช้ภายในครัวเรือน อาหาร โดยลูกค้ารายสำคัญคือ ไอศกรีมแม็กนั่ม, คนอร์ และน้ำยาล้างจานซันไลต์ ของยูนิลีเวอร์ รวมถึงเชนไดร้ท์
“ไม่ล็อกว่าเราเป็นออนไลน์ หรือออฟไลน์ แต่มองเราเป็นโซลูชั่น ขณะที่วายดีเอ็มมีความเป็นเกาหลีมีจุดแข็งด้านเทคโนโลยีการตลาดหรือ MarTech มัลเลนโลว์คือฝั่งครีเอทีฟ ผสานจุดแข็งแต่ละฝ่ายเพื่อบริการลูกค้า เพราะการแยกการอยู่เราอยู่ได้ แต่รวมกันทำให้เราแข็งแรง”
อีกภารกิจหลังได้ มัลเลนโลว์ มาครอง ธนพล ต้องการฟื้นตำนานของเอเยนซีเก่าแก่ 40-50 ปีอย่างแบรนด์นี้ให้กลับมาผงาดในวงการเป็นเบอร์ต้นๆ ของประเทศด้วย
ส่วนภาพรวมการทำตลาดให้กับลูกค้าในปี 2563 ยังเผชิญโจทย์โหดหิน เพราะปัจจัยลบเยอะทั้งไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โคโรนา” ซ้ำเติมเศรษฐกิจ ลูกค้าจึงหั่นงบ ชะลอการใช้จ่าย และหยุดกิจกรรมหลายรูปแบบ ในฐานะที่ “เอเยนซี” ที่ ธนพล มองว่าเป็น “มันสมอง” ต้องช่วยแก้เกมและวางกลยุทธ์ให้ลูกค้าขายสินค้าให้ได้ ทั้งเน้นการทำตลาดดิจิทัล โดยยืนยันว่าหมดยุคทำโฆษณา “หว่าน”เจาะตลาดกว้าง(Mass) แล้ว รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เสพสื่อออนไลน์ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ไปแล้ว จึงต้องสร้างประสบการณ์ผ่านช่องทางดังกล่าวต่อเนื่อง
เพื่อให้เห็นภาพชัด จึงยกตัวอย่างการทำตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัย กลุ่มเป้าหมายเป็น “ผู้หญิง” ดังนั้นจะยิงสื่อ Mass หรือ? เขาตั้งคำถาม นอกจากนี้การ “ตุนเงินสด” หากทำแคมเปญการตลาดในภาวะวิกฤติมากๆ อาจมีการขายสินค้าแลกขาดทุนเพื่อให้มี “เงินสด” เข้าบริษัท เพราะเศรษฐกิจกำลังซื้อชะลอ ผลตอบแทนอาจไม่คุ้มค่าการลงทุน(ROI)
“เศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้ารัดเข็มขัด ไม่ใช่จ่ายเงิน..คำถามนี้เราต้องถามตัวเองก่อนเหมือนกัน แต่บริษัทค่อนข้างโชคดี ได้คุยกับผู้ประกอบการธุรกิจอื่น เผชิญความยาก โดนดิสรัปหนักกว่า เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา หืดจับ แต่เมื่อเราเป็นมันสมองของลูกค้า ต้องทำให้ลูกค้ารอด เพราะหมายถึงเอเยนซีก็รอดด้วย”
ด้านภาพรวมบริษัทปีนี้ ตั้งเป้ารายได้แตะ 650 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน มีรายได้ 580 ล้านบาท ขณะที่อุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลโดยรวมปีนี้อาจโตต่ำกว่า 20% ต่ำสุดในรอบ 5-6 ปี จากปกติโต 20-30%