‘ออริจิ้น’พลิกเกมสู้วิกฤติโควิด-19 อ้าแขนรับพันธมิตรทุกรูปแบบ

‘ออริจิ้น’พลิกเกมสู้วิกฤติโควิด-19  อ้าแขนรับพันธมิตรทุกรูปแบบ

‘ออริจิ้น’ เร่งทรานส์ฟอร์มองค์กรรับมือไวรัสโคโรนา เปรียบวิกฤติเหมือนฤดูหนาวที่ยาวนาน ชะลอเปิดตัวคอนโด รุกแนวราบ ดึงพันธมิตรไทย-ต่างประเทศเสริมแกร่งทุกรูปแบบ ทั้งร่วมทุน แปลงที่ดินเป็นทุน เทคโนโลยี ลดเสี่ยง

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ถือว่ายากที่สุดในรอบ20ปีคล้ายกับวิกฤติในปี2540 ครั้งนั้นเกิดขึ้นเร็วแรงใช้เวลา3-4ปีในการฟื้นตัว แต่วิกฤติครั้งนี้ฟองสบู่ไม่แตกแต่เหมือนกับอยู่ในฤดูหนาวที่ยาวนานอาจถึงเดือนส.ค.นี้ กว่าที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 จะคลี่คลาย

ฉะนั้นต้องเก็บเสบียงให้พร้อมเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยในปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของออริจิ้นเพื่อพร้อมรับมือทุกสภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก

“การปฏิรูปองค์กร จะทำให้บริษัทมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันลดขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และยั่งยืนด้วยการปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ทันเวลา

โดยบริษัทได้แตก6บริษัทย่อยออกมารุก 6 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1.บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด พัฒนาคอนโดกลุ่มสมาร์ทคอนโด แบรนด์ ดิ ออริจิ้น 2.บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด พัฒนาคอนโดระดับลักชัวรี่ แบรนด์ไนท์บริดจ์และพาร์ค ออริจิ้น 3.บริษัท บริทาเนีย จำกัด พัฒนาบ้านจัดสรร แบรนด์บริทาเนีย4.บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด พัฒนาโครงการอสังหาฯในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 5.บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด พัฒนาอสังหาฯที่สร้างรายได้ต่อเนื่องเช่น โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก สำนักงานให้เช่า โครงการมิกซ์ยูส และ 6.บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด เป็นธุรกิจบริการอสังหาฯครบวงจร

นอกจากนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์ “Open for Growth, Open Platform”เพื่อเปิดรับพันธมิตรในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ร่วมทุน , เจ้าของที่ดิน , ผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริการและอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มซัพพลายเออร์ โดยในปีนี้บริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรใหม่ GS E&C (GS Engineering and Construction corporation) บริษัทในเครือโกลสตาร์ ผู้ประกอบการคอนโดรายใหญ่จากเกาหลีใต้ เพื่อพัฒนาคอนโด คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ส่วนอีกรายคือ Ci:Z เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางจากประเทศญี่ปุ่น จะเข้ามาร่วมทุนในการพัฒนาโรงแรม Intercontinental ทองหล่อ ส่วนพันธมิตรไทยอยู่ระหว่างการเจรา10-20 รายทั้งเจ้าที่ดิน โรงแรม คอนโด ซึ่งทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนค่าที่ดินลงได้ด้วย คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปีนี้

สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ จะปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจัยภายนอก จึงจะเปิดตัวโครงการใหม่ในกลุ่มที่อยู่อาศัย 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสมาร์ทคอนโด แบรนด์ดิ ออริจิ้น 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท โครงการลักชัวรี่คอนโด 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท โครงการบ้านจัดสรร 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท ~ทั้งแบรนด์บริทาเนีย และแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ไบรตัน และเบลกราเวีย โครงการกลุ่มอีอีซี 1 โครงการ มูลค่ารวม 1,400 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์เดอะ แฮมป์ตัน ที่ศรีราชา

โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 21,500 ล้านบาท ยอดโอน 14,000 ล้านบาทและสร้างรายได้รวมได้ 16,000 ล้านบาท มาจากทั้งธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ธุรกิจบริการ และธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก วางงบลงทุนไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินและเช่า จำนวน 7,000 ล้านบาท ส่วนอีก 8,000 ล้านบาทเป็นเงินลงทุนก่อสร้าง

ล่าสุด บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ ประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2566 นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมโอน (สต็อก) ในมือกว่า 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าจากโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 7,000 ล้านบาท และสินค้าโครงการแนวราบประมาณ 1,000 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโตขึ้นจากปีก่อน โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมจะอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 14,122.12 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโด ประมาณ 9,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56%, มาจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ ประมาณ 5,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 31% และจะมาจากรายได้อื่นๆ เช่น โรงแรม, การบริหารโครงการร่วมทุน และธุรกิจบริการ เป็นต้น ประมาณ 2,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรวม 13%