บล.เอเซีย พลัส หั่นกำไรบจ.ปี63 ลงอีก 8.2%

บล.เอเซีย พลัส หั่นกำไรบจ.ปี63 ลงอีก 8.2%

บล.เอเซีย พลัส ปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี63 ลดลง 8.2% จากประมาณการเดิม เหตุกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีโอกาสชะลอตัวลง

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่าปี 2563 เป็นปีหนึ่งที่เรียกได้ว่า การลงทุนทั่วโลกมีความยากลำบาก เนื่องจากเผชิญแรงกดดันหนักๆ จากประเด็น COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นกัน สำหรับหุ้นไทย ช่วงที่ผ่านมาปรับฐานลงแรง จนล่าสุด SET Index ลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ1,400 จุด หลายคนคงมีคำถามว่า ณ ปลายปี 2563 นี้ เป้าหมาย SET Index ควรจะอยู่ที่ตรงไหนกันแน่

โดยฝ่ายวิจัยฯ ได้รวบรวมตัวเลขกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) งวดปี 2562 ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เกือบครบแล้วคิดเป็น 98% ของมูลค่าตลาดรวม พบมีกำไรสุทธิ 9.39 แสนล้านบาท หรือลดลง 3.3%จากปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับฝ่ายวิจัยฯประเมิน แต่เนื่องจากกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีโอกาสชะลอตัวลง จึงต้องปรับประมาณการกำไรบจ.ปี 2563 ให้สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหลักๆกลุ่มที่ถูกปรับลดประมาณการกำไร ได้แก่ กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี (PTT  PTTGC IVL TOP BANPU) รวมกำไรที่ปรับลงราว 6.1 หมื่นล้านบาท ถูกกดดันจาก Spread ปิโตรฯที่อยู่ระดับต่ำ,กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (SCB BBL KBANK) รวมกำไรที่ปรับลงราว 1.3 หมื่นล้านบาท ถูกกดดันจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ บวกกัภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงมีความเสี่ยงที่จะอาจมีการลดดอกเบี้ยลงอีกในช่วงที่เหลือของปี และกลุ่มสื่อสาร (ADVANC TRUE INTUCH DTAC) ถูกกดดันจากต้นทุนการประมูลคลื่น 5G ที่เพิ่มขึ้น รวมกำไรที่ปรับลงราว 1.0 หมื่นล้านบาท, กลุ่มการบินและท่องเที่ยว (THAI AOT AAV) รวมกำไรที่ปรับลง 3.1 หมื่นล้านบาท

ขณะที่บจ.ที่ถูกปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 เช่น กลุ่มอาหารส่งออก อย่าง CPF ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรขึ้น 3.5 พันล้านบาท จากแรงหนุนค่าเงินบาทที่อ่อนค่า, ราคาหมูที่ปรับตัวขึ้นและทรงตัวอยู่ในระดับสูง และกลุ่มพลังงานบางบริษัท (BGRIM GULF PTTEP) รวมกำไรที่ปรับขึ้นราว 1.6 พันล้านบาท ได้แรงหนุนจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสมมุติฐานเดิม, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่ปรับกำไรขึ้น 1.5 หมื่นล้านบาท จากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ เป็นต้น

ส่วนภาพรวมขณะนี้ได้ปรับลดประมาณการกำไรบจ.ปี 2563 ลงสุทธิ 8.3 หมื่นล้านบาท มาที่ 9.18 แสนล้านบาท ลดลง 8.2% จากประมาณการเดิม และส่งผลให้คาดการณ์ EPS ปี 2563 ลดลงมาอยู่ที่ 85.6 บาทต่อหุ้น จากเดิมคาดที่ 95.71 บาทต่อหุ้น

การปรับลดประมาณการบจ.ถือเป็นความเสี่ยงของตลาดหุ้นที่ต้องติดตาม แต่หากวิเคราะห์ Valuation ปัจจุบัน บน Market Earning Yield Gap ภายใต้คาดการณ์ EPS ปี 63 ที่  85.6 บาทต่อหุ้น พร้อมกับใช้ Bond Yield 1 ปี ปัจจุบัน ที่ 0.89% จะได้ Market Earning Yield Gap ช่วง 5.5% ถือว่ากว้างมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.28% และอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงเศรษฐกิจถดถอยในปี 2556”

ขณะที่หากประเมินเป้าหมายของ SET Index ให้ตลาดกลับมาซื้อขายกันบน Market Earning Yield Cap แบบอนุรักษ์นิยมที่ระดับ 5% (ค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.28%) ขณะที่ Bond Yield ที่อยู่ในระดับต่ำมาก ตามกลไกจะหนุนให้ตลาดหุ้นซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 17 เท่า ทำให้เป้าหมาย SET Index ปลายปี 63 จะอยู่ 1455 จุด ลดลงจากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 1579 จุด ซื้อขายบน P/E ที่ 16.5 เท่า

นอกจากนี้สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือนมี.ค.นี้ ฝ่ายวิจัยฯแนะนำให้สะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มกำเติบโตโดดเด่นเหนือตลาด อย่าง BJCHI, CHG, CPALL, CPF, INTUCH และ MCS เป็นต้น ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน คือ หุ้นที่ Over Value อย่าง TKN และ HANA เป็นต้น