'เอพี' ลุยแนวราบจับเศรษฐีภูธร หนีคอนโดในกรุงซบหนัก

'เอพี' ลุยแนวราบจับเศรษฐีภูธร หนีคอนโดในกรุงซบหนัก

เอพี ไทยแลนด์ พลิกเกมรุกแนวราบในหัวเมืองรองทุกภูมิภาคเป็นปีแรก นำร่องนครศรีธรรมราช หวังขยายพอร์ตต่างจังหวัดรับกำลังซื้ออนาคต หลังตลาดคอนโดในเมืองซบ

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกธุรกิจจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่เชื่อว่า ถ้าผ่านปีนี้ไปได้จะเก่งขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงได้ยกระดับยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนองค์กรให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ภายใต้พันธกิจ “เอ็มพาวเวอร์ ลิฟวิ่ง” ด้วยการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิต และเป็นเข็มทิศในการก้าวให้กับพนักงานเครือเอพี ไทยแลนด์มองเห็นเป้าหมายในการทำงานเป็นภาพเดียวกัน

โดยปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่เอพีจะกระจายการพัฒนาโครงการแนวราบออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ หลังจากที่โครงการแนวราบของบริษัทฯ มีสัดส่วนการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยจะเริ่มต้น โครงการแนวราบจังหวัดที่นครศรีธรรมราช คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวช่วงไตรมาส3 โดยอยู่ระหว่างการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าในจังหวัดอื่นๆ ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคจำนวน4-5 โครงการ รองรับกำลังซื้อในอนาคต ซึ่งตลาดต่างจังหวัดมีกำลังซื้อจากกลุ่มเศรษฐีจำนวนมากและการแข่งขันไม่รุนแรงเหมือนตลาดในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่

“การขยายไปตลาดต่างจังหวัดครั้งนี้ จะเป็นการเปิดตลาดสินค้าแนวราบของเอพีให้กว้างขึ้นและถือเป็นโอกาสในศึกษาความต้องการของคนไทยในแต่ละภูมิภาค โดยสินค้าที่จะนำไปพัฒนานั้นเป็นทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และบ้านแฝด”

เขายังกล่าวว่า ในปี2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่า 47,150 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ จำนวน 33 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 35,050 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,100 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับอยู่แล้ว

“ปีนี้ยอดเปิดตัวคอนโดลดลงเหลือ4 โครงการจากปีที่ผ่านมาเปิดตัว 6 โครงการเนื่องจากตลาดคอนโดมีอัตราการดูดซับลดลง สภาพตลาดไม่เอื้อ พร้อมกันบริษัทขยายฐานลูกค้ามาในระดับกลางมากขึ้น โดยเฉลี่ยยูนิตละ 3-6 ล้านบาท ต่ำกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม. ทำให้มูลค่ารวมของโครงการคอนโดลดลง ”

โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจะเปิด19 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 23,290 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ จำนวน 17 โครงการมูลค่าโครงการรวม 17,790 ล้านบาท ส่วนอีก 2 โครงการ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการรวม 5,500 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะทยอยเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 23,860 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Presale) รวมที่ 33,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายรวม 32,857 ล้านบาท