ซื้อ ส.ส.เข้าพรรค การเมืองยุคเสื่อม

ซื้อ ส.ส.เข้าพรรค การเมืองยุคเสื่อม

เป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐาน เพื่อเอาผิด ส.ส.ที่รับผลประโยชน์ในการย้ายพรรค สิ่งที่ทำได้ดีคือ สังคมต้องช่วยกันสอดส่อง กำกับ กลุ่มที่ ส.ส.ย้ายพรรค ในการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงภาคประชาชน ต้องตำหนิ กดดัน ประณาม มิใช่ส่งเสริม เห็นด้วยกับวิธีทางลัดทางการเมือง

การสังกัดพรรคการเมือง ถือเป็นสิทธิ์ของ ส.ส.แต่ละท่าน หากการร่วมมาจากการตกผลึกด้านอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน เพราะนี้คือเจตนารมณ์ของการปกครองในระบบประชาธิปไตย ที่ให้ตัวแทนของปวงชนชาวไทยนั้น ทำหน้าที่โดยสุจริตและทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง มิใช้เอาอำนาจที่ประชาชนมอบให้ ไปหาผลประโยชน์ส่วนตน อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในการเมืองไทยวันนี้ เนื่องจากสิทธิ์และอำนาจนั้นสำคัญยิ่งในทางการเมือง ดังนั้นการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ถือว่าประชาชนยอมสละสิทธิ์ของตัวเอง เพื่อมอบให้ตัวแทนของเขา ไปทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ 

แต่วันนี้ กลับมีเรื่องน่าละอายและหดหู่กับนักการเมืองบางราย ที่นอกจากไม่ยึดอุดมการณ์ในระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยัง “ขายตัว” เอาทรัพย์สินที่ประชาชนมอบให้ นำไปหาผลประโยชน์กับตัวเอง เพราะแทนที่จะย้ายพรรคเพราะอุดมการณ์ แต่สิ่งที่ปฏิบัติยึดบนผลตอบแทนมหาศาล ที่ไม่ค่อยเห็นมานานแล้วในสังคมไทย เพราะในอดีต ก็มีให้เห็นอยู่หลายครั้งที่ ส.ส.เลือกจะขายตัวเอง ในหลายๆ รูปแบบ ย้ายพรรค โหวตสวน ขู่อภิปราย แต่ประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ และกดดันให้ออกจากเส้นทางการเมือง แต่ถึงวันนี้ วงจรอุบาทว์ทางการเมืองได้กลับมาแล้ว เป้าหมายฝ่ายทุ่มทุนเพียงเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจต่อไป 

เราเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐาน เพื่อเอาผิด ส.ส.ที่รับผลประโยชน์ในการย้ายพรรค เพราะหากมีหลักฐานก็สามารถถอดถอนออกจาก ส.ส.ได้อยู่แล้ว แต่แนวทางดังกล่าวนั้น มีความยาก สิ่งที่ทำได้ดีคือ “สังคม” ที่ต้องช่วยกันสอดส่อง กำกับ ในกลุ่มที่ ส.ส.ย้ายพรรค ในการปฏิบัติหน้าที่ เราเชื่อว่าจะสำแดงออกมาเอง เพราะถึงอย่างไรแล้ว เมื่อรับผลประโยชน์มาแล้ว ย่อมต้องตอบแทนเจ้าของ ยิ่งหากการย้ายพรรค มีตัวเลข 23 ล้านบาทจริง ถือว่าเป็นการลงทุนที่สูงมาก ผู้ลงทุนย่อมถอดทุนคืน ซึ่งนั้นหมายความว่าต้องใช้ทุกเสียงที่ดึงเข้ามารับใช้ มากกว่าที่จะออกเสียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมตามเจตนารมณ์ 

เราห่วงว่า ปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ เป็นวงจรที่น่าวิตกต่อทิศทางการเมืองไทย ซึ่งภาคประชาชน ต้องตำหนิ กดดัน ประณาม มิใช่ส่งเสริม เห็นด้วยกับวิธีทางลัดทางการเมือง เพราะมิฉะนั้น นักการเมืองจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นเรื่องปกติ เราต้องช่วยกันไม่ให้สิ่งผิดปกติทางการเมือง กลายเป็นความยอมรับของสังคม เพราะหากปล่อยให้ถึงขั้นนั้น ประเทศนี้จะไม่เหลืออะไรให้รุ่นลูกหลานได้ภูมิใจ ขณะเดียวกันในทางกฎหมาย ต้องปรับปรุงเข้มข้น เพื่อปิดกั้นการใช้ผลประโยชน์ ดูดและล่อใจให้ตัวแทนประชาชน กระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม และพรรคที่ทำแบบนี้ นอกจากความผิดทางอาญาแล้วควรจะถูกยุบพรรคด้วยเช่นกัน