ย้อนรอย 'การยาสูบฯ' กับโจทย์หินที่รออยู่!

ย้อนรอย 'การยาสูบฯ' กับโจทย์หินที่รออยู่!

เจาะลึก "บุหรี่ไทย" ในมือการยาสูบแห่งประเทศไทย ผู้ได้สิทธิผูกขาดการผลิตบุหรี่ในไทย กับความท้าทายครั้งใหม่ใหม่หลังก้าวเป็นนิติบุคคล และอัตราภาษีสรรพสามิตรูปแบบใหม่

หากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่กระแสข่าวย้ายฐานการผลิตของโรงงานยาสูบไปอยู่ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากเดิมตั้งอยู่บริเวณคลองเตย บนพื้นที่กว่า 600 ไร่ และอีก 2 แห่ง โดยเป็นการรวบ 3 โรงงาน ไปเป็นเพียงโรงงานเดียว

ความสนใจหลากทิศมุ่งจับตารัฐบาลในขณะนั้นอย่างมาก เพราะเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปในโปรเจคนี้ไม่ใช่น้อยดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ในขณะนั้น ชี้แจงว่า งบประมาณในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท และย้ำว่างบประมาณในส่วนนี้ไม่ใช่งบประมาณใหม่แต่อย่างใด เป็นงบที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ในอดีต รวมถึงไม่ใช่งบประมาณของแผ่นดินด้วย แต่เป็นงบประมาณจากรายได้และกำไรของการยาสูบแห่งประเทศไทยเอง

ทำให้หลายคนอยากรู้ว่าแต่ละปีนั้น การยาสูบแห่งประเทศไทยมีรายได้มากน้อยแค่ไหน และมีการนำส่งเงินเข้ารัฐเท่าไร "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" จะพามาทำความรู้จักกับการยาสูบแห่งประเทศ กับภารกิจของการเป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายยาสูบในไทย รวมถึงเม็ดเงินขององค์กรนี้ 

  • เปลี่ยนผ่านสู่ "นิติบุคคล"

ในอดีตโรงงานยาสูบ อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งโรงงานยาสูบได้รับ “สิทธิผูกขาด” ในการผลิตแต่เพียงผู้เดียวภายในราชอาณาจักรไทย ขณะที่เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติการยาสูบแห่งประเทศไทย พ.ศ.2561 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับใหม่ โดยกำหนดให้โรงงานยาสูบ ยกระดับเปลี่ยนเป็น "นิติบุคคล" ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ในชื่อ การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) 

โดยให้เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า มาจากข้อจำกัดบางประการในการดำเนินกิจการ ประกอบกับการผลิตบุหรี่ซิกาแรตเป็นกิจการผูกขาดของรัฐ สมควรดำเนินการโดยนิติบุคคล ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะ และกำหนดให้มีคณะกรรมการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 หลังจากนั้นก็มีการก่อตั้งโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ คือ การยาสูบแห่งประเทศไทย พระนครศรีอยุธยา

  • ความท้าทายรอบด้าน กดดันการแข่งขันในตลาด

ขณะเดียวกันในช่วงของการเปลี่ยนผ่านมานั้น การยาสูบฯต้องประสบปัจจัยท้าท้ายหลายด้าน ทั้งการปรับอัตราสรรพสามิตบุหรี่ที่เริ่มประกาศใช้ปลายปี 2560 โดยมีการกำหนด "ราคากลาง" อยู่ที่ 60 บาท และแบ่งบุหรี่ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Lower ที่มีราคาต่ำกว่า 60 บาท และกลุ่ม High-end ที่มีราคาสูงกว่า 60 บาท โดยมีรายละเอียดตามภาพด้านล่างนี้

159765644123

ซึ่งการจัดเก็บภาษีที่ปรับใหม่นั้น เป็นการ "เก็บภาษีแบบผสม" คือ การเก็บภาษีตามมูลค่า และตามปริมาณ โดยใช้ราคาขายปลีกแนะนำเป็นฐานในการคำนวณมูลค่า เมื่อเจาะลึกไปที่การจัดเก็บตามปริมาณ พบว่า บุหรี่ทุกมวนจะมีการจัดเก็บภาษี มวนละ 1.20 บาท หรือซองละ 24 บาท นี่คือต้นทุนคงที่ (Fixed Cost)

อีกส่วนหนึ่งเป็นการคิดภาษีจากการนำราคาขายปลีกมาเป็นเกณฑ์คำนวณภาษี คือ ถ้ามีราคาขายปลีกเกิน 60 บาทต่อซอง ต้องเสียภาษีในอัตรา 40% ของราคาขาย ซึ่งยังไม่นับรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าราคาขายปลีกไม่เกิน 60 บาทต่อซอง จะเสียภาษีในอัตรา 20% ของราคาขายปลีกเช่นกัน ซึ่งยังไม่นับรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานั้น ราคาบุหรี่ไทยเพิ่มขึ้นราว 9-20 บาทต่อซอง 

แต่ในปี 2564 การจัดเก็บภาษีบุหรี่ทั้งหมดนั้นจะจัดเก็บในอัตราเท่ากัน ซึ่งจะทำให้ราคาบุหรี่ทุกกลุ่มมีความใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยอยู่ในราคาต่ำ จะมีราคาใกล้เคียงกับบุหรี่ที่มีราคาสูง ซึ่งทำให้บุหรี่นอกเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้น

เนื่องจากหากดูจากราคาขายปลีกตามตารางด้านบน จะเห็นว่าราคาบุหรี่ไทยและนอกนั้นไม่ได้แตกต่างกันเท่ากับอดีต

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยท้าทายสำคัญ เช่น บุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศบางแบรนด์ลดราคาขายปลีกลงเท่ากับบุหรี่ไทยที่มีราคาไม่เกิน 60 บาทต่อซอง รวมถึงมีการผลักดัน "ห้ามผลิตบุหรี่เมนทอล" ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากองค์การระหว่างประเทศพยายามต่อต้านการบริโภคยาสูบ ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ยังเปลี่ยนข้อกำหนดเรื่องของอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อเป็น 20 ปี จาก 18 ปี ห้ามแบ่งขายเป็นมวน ห้ามขายผ่านรูปแบบพริตตี้ และห้ามโฆษณาในรูปแบบเป็นผู้สนับสนุนการประกวดและการแข่งขัน 

ทั้งนี้ ทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบัน การยาสูบแห่งประเทศไทย ผลิตบุหรี่ออกขายทั้งหมดกว่า 17 แบรนด์ ได้แก่ Knight (Blue), LINE 7.1 สีแดง, LINE 7.1 สีเขียว, LINE สีแดง, LINE สีเขียว, GOAL สีแดง, GOAL สีเขียว, SMS สีแดง, SMS สีเขียว, WONDER S สีแดง, WONDER S สีเขียว, KRONG THIP 7.1 สีแดง, สามิต 90, กรุงทอง 90, กรองทิพย์ 90, สายฝน 90 และ TUK TUK โดยมีราคาขายปลีกต้นตั้งแต่ 55-115 บาทต่อซอง ส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่สัดส่วนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ภายในประเทศ 

นอกจากนี้ยังมียาเส้นมวนเองอีก 3 แบรนด์ ได้แก่ LINE, e-แต๋น และ  e-แต๋น 2 ราคาขายปลีกอยู่ที่ 12 บาทต่อซอง

159800091037

นอกจากนี้เผชิญปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง รวมถึงเรื่องของการปรับปรุงแก้ไขการเสียภาษีเงินได้ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป การยาสูบฯจะไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ชำระแทนให้ผู้ขายส่งยาสูบ และผู้ขายปลีกสินค้ายาสูบอีกต่อไป ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องรับภาระ จึงทำให้ที่ผ่านมามีตัวแทนจำหน่ายบุหรี่หลายรายยกเลิกการจำหน่ายของการยาสูบฯ ไป

ขณะเดียวกันยังต้องประสบกับบุหรี่รูปแบบใหม่ที่เข้ามาช่วงชิงตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น ปรับรสชาติใหม่ รูปแบบใหม่ รวมถึงการคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ปรับวัสดุที่ใช้ทำก้นกรองบุหรี่ให้สามารถย่อยสลายได้ นับเป็นแนวโน้มในอุตสาหกรรมนี้ที่ท้าทายอย่างมาก

อีกทั้งประเทศไทยยังมี แผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ โดยมีเป้าลดผู้สูบบุหรี่ให้เหลือเพียง 16.7% ภายในปี 2562 ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริโภคบุหรี่ในไทยลดลง แต่ยังไม่เป็นจำนวนที่มากนัก อย่างในปี 2560 พบว่าผู้สูบบุหรี่ในไทยมี 19.1% ลดจากปี 2558 ที่มีอยู่ราว 19.9% 


159799747344

  • เปิดรายได้ 5 ปีย้อนหลัง

หากมาดูที่เม็ดเงินรายได้รวมของการยาสูบแห่งประเทศไทย ในปี 2562 มีรายได้อยู่ที่ราว 50,838.89 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้รวมอยู่ที่ 51,565.67 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิลดลงไปจากก่อนหน้าอย่างมาก ปี 2561-2562 การยาสูบมีกำไรสุทธิ 843 และ 513 ล้านบาท ตามลำดับ

และย้อนกลับลงไปถึงปี 2558 ตัวเลขของรายได้ก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 โรงงานยาสูบมีรายได้ 61,984 ล้านบาท ปี 2559 รายได้รวม 65,237 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้ราว 68,175 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ ในส่วนของโรงงานยาสูบ ปี 2558-2560 อยู่ที่ 7,105  8,861 และ 9,343 ล้านบาทตามลำดับ

หนึ่งสิ่งที่น่าสังเกตคือ เม็ดเงินรายได้หลังการเปลี่ยนสถานะองค์กรนั้นลดลงไปค่อนข้างมาก ทั้งนี้มาจากการที่กรมสรรพสามิตมีการปรับการจัดเก็บสินค้ายาสูบใหม่ตาม พ.ร.บ.2560 ที่เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2560 จึงทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายบุหรี่ลดลง จนถึงขั้นขาดทุนและขาดสภาพคล่อง จนมีการเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ขอยกเว้นการนำส่งเงินรายได้แผ่นดินจากผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2560-2563 ทั้งหมด 16,718 ล้านบาท 

ทั้งนี้คงต้องดูแนวโน้มการดำเนินงานต่อไปว่าหลังจากยกระดับเป็นการยาสูบแห่งประเทศไทยแล้ว กลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อหารายได้จะปรับเปลี่ยนมากน้อยเพียงใด

อ้างอิง : thaitobacco(1)  thaitobacco(2)