สธ.ขอให้เลื่อนเดินทางไป 4ประเทศหากไม่จำเป็น สกัดโควิด-19

สธ.ขอให้เลื่อนเดินทางไป 4ประเทศหากไม่จำเป็น สกัดโควิด-19

ผู้ป่วยโควิด-19กลับบ้านได้อีก 2 ราย เพิ่มคัดกรองคนเดินทางจากเกาหลีใต้ แนะคนไทยไม่จำเป็นให้เลื่อนเดินทางไป 4 ประเทศ ยันไทยยังไม่มี “ซุเปอร์ สเปรดเดอร์” ขอคนป่วยหยุดอยู่บ้าน เร่งศึกษาฤทธิ์ฟ้าทะลายโจรยับยั้งไวรัสโคโรน่า2019หรือไม่ เพิ่มแล็บตรวจหาเชื้อ

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19ว่า ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อในประเทศไทยยังเท่าเดิม คือ 35 ราย และแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้อีก 2 ราย เป็นชายชาวจีน อายุ 56 ปี และ 34 ปี รักษาที่สถาบันบำราศนราดูร รวมมีผู้ป่วยที่หายดีและแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว 19 ราย ยังรักษาตัวในสถานพยาบาล 16 ราย โดยผู้ป่วยอาการรุนแรง 2 ราย ในรายที่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงการทำงานของปอด อาการคงที่ ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อแล้ว ส่วนรายที่เป็นวัณโรคร่วมด้วย ยังตรวจพบเชื้ออยู่ อาการคงที่ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจทั้ง 2 ราย ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องและยังถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤติ

ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวังสะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 20 กุมภาพันธ์ 2563 จำนวน 1,151 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 941 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 210 ราย ซึ่งตัวเลขในส่วนของผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ฯเพิ่มขึ้นเฉพาะวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 จำนวน 99 ราย จากเดิมที่อาจจะเพิ่มขึ้น 20-30 คนต่อวัน เนื่องจากประเทศไทยมีการขยายพื้นที่เฝ้าระวังนักเดินทางจากประเทศและเขตปกครองที่มีการระบาดของโรคนี้นอกจากประเทศจีน คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง ไชนีสไทเป และเกาหลีใต้ และขยายการเฝ้าระวังในกลุ่มคนไทยที่ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ แต่มีอาการปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุในพื้นที่ 8 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ เชียงราย กระบี่ และภูเก็ต ตามพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางเข้ามามากด้วย 


“การขยายวงเฝ้าระวังก็เพื่อค้นหาให้ละเอียดมากขึ้น แม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะยังไม่เจอผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้นั่งอยู่นิ่งๆ แต่มีการวิ่งออกไปหาแต่ก็ยังไม่เจอผู้ป่วย แต่ทีมวางแผนและทีมกลยุทธ์ก็ค่อนข้างไม่แน่ใจว่าที่ไม่มีผู้ป่วยเพราะไม่มีจริงๆ หรือเพราะหาไม่เจอ ทางที่ดีที่สุดจึงต้องขยายวงการเฝ้าระวังในกลุ่มปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุแต่ไม่เคยไปต่างประเทศด้วย ซึ่งปกติปอดอักเสบจะเกิดขึ้นได้จากทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส แต่กรณีที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ก็จะให้ถือว่าเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคนี้ด้วย ซึ่งจากการขยายเกณฑ์เฝ้าระวังนี้มาราว 1 สัปดาห์ ในจำนวนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังทั้งหมด 1,151 ราย มีในส่วนผู้ป่วยที่เป็นปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุเข้ามาเป็นผู้ป่วยตามเกณฑ์เฝ้าระวัง 27 ราย อยู่ระหว่างการตรวจวินิจฉัย”นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว 

ขอให้เลื่อนการเดินทาง
“คำเตือนสำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคเป็นวงกว้าง เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ประเทศไทยไม่ได้ห้ามการเดินทาง แต่ขอให้ผู้ที่กำลังจะเดินทางไป พิจารณาเลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็น แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องเดินทาง ก็สามารถไปได้ โดยให้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อไปให้เพียงพอ เลี่ยงการไปในแหล่งที่มีคนหนาแน่น เลี่ยงคนที่มีอาการไอ จาม ไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงให้ใส่หน้ากากอนามัย กินอาหารร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ เมื่อกลับมาประเทศไทย หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก อาการทางเดินหายใจให้รีบใส้หน้ากากอนามัย ไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทาง ”ายแพทย์ธนรักษ์กล่าว

158227300256


นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในประเทศไทยยังนิ่งๆ ความเสี่ยงของคนไทยไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น แต่มีตัวอย่าง 3 ประเทศในทวีปเอเชียที่การระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ รวมทั้งฮ่องกง เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงของประเทศไทยที่มีนักเดินทางเข้ามาและเป็นผู้ติดเชื้อยังมีอยู่ เนื่องจากดำเนินมาตรการเปิดกว้างในการรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ขณะที่มาตรการคัดกรองและเฝ้าระวังในกลุ่มผู้เดินทางจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดยังคงดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งการประกาศบนเครื่องบิน ตรวจคัดกรองที่สนามบิน และให้คำแนะนำ การเฝ้าระวังในกลุ่มผู้เดินทางต่อไป และกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับโรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง รวมถึง โรงพยาบาลเอกชนและคลินิกให้สอดส่องดูแลผู้ป่วยที่มีอาการเข้าเกณฑ์ หากพบขอให้ตรวจละเอียดและส่งตัวตรวจวินิจฉัย ส่วนคำแนะนำคนไทยทั่วไปก็เช่นเดิมคือ หลีกเลี่ยงไปในสถานที่คนชุมนุมมากๆ เลี่ยงคนไอ จาม กลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสผู้เดินทางจากต่างประเทศต้องใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ


ยันโควิด-19ไม่แพร่ทางอากาศ
“การแพร่เชื้อของไวรัสโคโรน่า 2019 ในทางการแพทย์ยังมีการรายงานแพร่ทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือน้ำลายของผู้ติดเชื้อ ไม่ใช้การแพร่ทางอากาศ การป้องกันติดเชื้อจึงทำได้ด้วยการใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ”นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว

นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวด้วยว่า กรณีที่มีแผนจะประกาศให้โรคโควิด-19เป็นโรคติดต่ออันตรายขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยยังนิ่งๆอยู่นั้น ไม่ได้ทำให้ประชาชนต้องตื่นตระหนก ในหลักการทำเพื่อควบคุมโรคให้อยู่ในระยะนี้ให้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ชะลดการระบาดในประเทศออกไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการประกาศดังกล่าวจะทำให้เจ้าพนักงานใช้ข้อบังคับตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ในการสร้างความมั่นใจที่จะยืดระยะนี้ได้นานที่สุด โดยที่ผ่านมาถือว่าประเทศไทยมีความสำเร็จอย่างดีในการยืดระยะเวลาปลอดโรคในประเทศได้นาน ทั้งที่ประเทศไทยถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะเปิดกว้างรับนักเดินทาง และเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาคนี้ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการแพร่ระบาดในประเทศเป็นวงกว้าง หากอนาคตจะมีการแพร่ระบาดจริงๆ การยืดระยะเวลาออกไปจะทำให้มีความพร้อมมากขึ้นในการที่จะรับมือกับช่วงที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมือนสถานการณ์ในญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้

“คนไทยทุกคนช่วยลดผลกระทบด้านต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับประเทศตัวเองได้ ด้วยการช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่ตื่นตระหนก เข้าใจสภาพปัญหาอย่างแท้จริง ใช้ชีวิตประจำวันไปด้วยการวิเคราะห์ความเสี่ยงของตัวเอง และเรียนรู้วิธีการป้องกันโรค ประคับประคองสถานการณ์ด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคง เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นระยะเวลายากลำบากไปได้อย่างดีที่สุด ที่ทุกคนในประเทศต้องร่วมมือกัน”นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว 

ไทยยังไม่มีซุเปอร์ สเปรดเดอร์
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีผู้ป่วยซุเปอร์ สเปรดเดอร์ (Super Spreader)ที่พบจากการรายงานข่าวในต่างประเทศว่าจะป้องกันไม่ให้ประเทศไทยเจอผู้ป่วยแบบนี้ได้อย่างไร นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวว่า เมื่อเกิดโรคอุบัติใหม่จะมีผู้ป่วยซุเปอร์ สเปรดเดอร์เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีเชื้อในร่างกายจำนวนมากสามารถแพร่ให้ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ โดยจะเป็นคนที่มีลักษณะคือเมื่อป่วยแล้วยังไม่หยุดอยู่กับบ้าน เป็นคนที่สัมผัสกับคนได้เป็นจำนวนมาก โดยอาจมีอาการเหมือนคนทั่วไป หรืออาการไอ จามบ่อยกว่าคนทั่วไป และชีวิตประจำวันต้องสัมผัสคนจำนวนมาก รวมถึงใช้ชีวิตในสถานที่ที่แออัดมาก เมื่อไอ 1 ครั้งจะมีผู้สัมผัสเป็นจำนวนมากและมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากตามมา

ป่วยขอให้หยุดงาน
นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวด้วยว่า ผู้ป่วยลักษณะนี้ ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ประเทศไทยสุดท้ายจะมีการแพร่ระบาดกว้างขวางหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพลังอำนาจของคนไทยทุกคน โดยเฉพาะคนไทยที่เมื่อเริ่มป่วย ถ้าต้องการให้ประเทศไทยสงบสุข ถ้าเริ่มมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ ขอให้หยุดพักอยู่กับบ้านถ้าอาการไม่รุนแรง เหมือนหวัดทั่วไป รับประทานยาที่เหมาะสม ดื่มน้ำมากๆ แต่ถ้าอาการหนัก ไปพบแพทย์ ออกจากบ้านใส่หน้ากากอนามัยด้วยและใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อที่จะไปแพร่ให้คนอื่น จะช่วยประเทศได้มาก แต่ถ้ายังไอแล้วไม่ป้องกันการแพร่ไปคนอื่นรอบข้างก็จะติดเชื้อด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญสุดเมื่อเริ่มมีอาการป่วย ต้องรู้ตัว มีสติและท่องในใจเสมอว่าโรคจะต้องหยุดที่เรา ไม่ไปแพร่ให้คนอื่นอีก ก็จะช่วยประเทศชาติและคนที่เรารักไม่ให้ติดเชื้อตามไปด้วย เรื่องนี้สำคัญที่สุด

“การที่ประเทศไทยจะชะลอการระบาดของโรคไปได้นานเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการได้รับความร่วมมือของคนไทยด้วย หากทุกคนร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะสามารถรับมือกับโรคนี้ได้ แต่ถ้าวุ่นวาย สับสนไม่มีใครฟังใครเชื่อแต่ข่าวลือ ข่าวลวง ก็ยากที่จะจัดการได้ แม้เจ้าหน้าที่จะทำงานเต็มที่แล้วก็ตาม และหากเกิดระยะระบาดขึ้นในประเทศไทยในอนาคต ปัจจัยสำคัญที่จะห้ามได้คือความร่วมมือของทุกคน”นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว


เพิ่มห้องแล็บตรวจเชื้อ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้นำตัวอย่างเชื้อจากผู้ป่วยไวรัสโคโรนา 2019 รายที่แรกและรายที่สองของประเทศไทย ไปถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นำมาพัฒนาชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พัฒนาวัคซีนป้องกันโรค รวมทั้งแบ่งปันเชื้อให้องค์การอนามัยโลกนำไปต่อยอดเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งโลก นอกจากนี้ ยังได้เร่งรัดพัฒนาเครือข่ายห้องปฏิบัติการให้พร้อมรับมือสถานการณ์ระบาดฉุกเฉิน ใน 14 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเริ่มที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 13 แห่ง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในขยายไปยังโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่ 5 มกราคม – 20 กุมภาพันธ์ 2563 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากตัวอย่างสิ่งส่งตรวจ รวม 1,489 ตัวอย่าง

ศึกษาฤทธิ์ฟ้าทะลายโจร
นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกได้ร่วมมือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของสารสกัดฟ้าทะลายโจร รวมถึงสมุนไพรอื่น เพื่อดูกลไก ประสิทธิภาพของสมุนไพรไทยต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเดิมได้มีการศึกษาเรื่องสารสกัดฟ้าทะลายโจรอยู่แล้วว่ามีฤทธิ์ต้านไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์ การเพิ่มภูมิคุ้มกัน หรือการต้านการอักเสบ ทำให้มีการใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน
“ในส่วนของไวรัสโคโรน่าประเทศจีนเคยศึกษาไว้เมื่อ 10 ปีก่อนช่วงที่โรคซาร์สระบาด พบว่าฟ้าทะลายโจรสามารถฆ่าไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่ก่อโรคซาร์สได้ แต่รหัสพันธุกรรมการของไวรัสก่อโรคโควิด-19 แตกต่างที่ก่อโรคซาร์ส์ จึงต้องศึกษาวิจัยว่าฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ก่อโรคโควิด-19ได้หรือไม่ โดยจะทำการศึกษาในอาสาสมัครคนไทยที่มีสุขภาพดี 10 คน ด้วยการให้รับประทานฟ้าทะลายโจรในโด๊สที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นเวลา 5 วันและเจาะเลือด นำเอาซีรั่มของอาสาสมัครไปใส่ในเชื้อในหลอดทดลอง เพื่อดูว่าทำให้เชื้อตายได้หรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลา 1 เดือน”นายแพทย์ปราโมทย์กล่าว