ร.ฟ.ท.เตรียมเปิดพีพีพีเดินรถขนส่งสินค้า หนองคาย - แหลมฉบัง ต้นปี 64

ร.ฟ.ท.เตรียมเปิดพีพีพีเดินรถขนส่งสินค้า หนองคาย - แหลมฉบัง ต้นปี 64

ร.ฟ.ท.จ่อเปิดประมูลเดินรถขนส่งสินค้า หนองคาย – แหลมฉบัง ต้นปี 2564 ดึงเอกชนร่วมพีพีพี 30 ปี วงเงินลงทุน 3 หมื่นล้าน ตั้งเป้าเปิดให้บริการภายใน 2569 มั่นใจสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 22%

นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนา เพื่อรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน (Market Sounding) ต่อโครงการศึกษาและวิเคราะห์โครงการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการเดินรถขนส่งสินค้า (เส้นทางหนองคาย - แหลมฉบัง) วันนี้ (19 ก.พ.) โดยระบุว่า ร.ฟ.ท.ได้จ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาเพื่อศึกษาโครงการดังกล่าว ซึ่งพบว่ามีเอกชนให้ความสนใจร่วมลงทุนจำนวนมาก

สำหรับโครงการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการเดินรถขนส่งสินค้า (เส้นทางหนองคาย - แหลมฉบัง) ร.ฟ.ท.จะดำเนินการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นโครงการศึกษาการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) โดยให้เอกชนร่วมพัฒนาระบบเดินรถด้วยไฟฟ้า (Rail Electrification) และบริการจัดการขนส่งสินค้าทางรถไฟเส้นทางหนองคาย-แหลมฉบัง มูลค่าลงทุน 3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ปี 2564 ให้บริการจริงปี 2569

  158211420021

“เพื่อลดภาระการลงทุนในส่วนของการรถไฟฯ ที่จะต้องเป็นผู้รับภาระเอง การรถไฟฯ จึงดําเนินการศึกษาการให้เอกชนเข้ามามี ส่วนร่วมในการลงทุนและให้บริการขนส่งสินค้า ในเส้นทางหนองคาย-แหลมฉบัง (ระยะทางรวมประมาณ 683 กิโลเมตร) มูลค่าการลงทุนระยะ เริ่มแรกประมาณ 26,400 ล้านบาท (30,000 ล้านบาท ตลอดโครงการ) แบ่งเป็น ภาครัฐลงทุนระบบ OCS (Overhead Catenary System) ในขณะที่ภาคเอกชนลงทุนรถจักรไฟฟ้า รถบรรทุกสินค้า(แคร่) และอู่จอด และซ่อมบํารุง รวมทั้งการพัฒนาระบบรางเพิ่มเติม”

นายวรวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางการเงิน (Financial Feasibility) สามารถสรุปได้ว่า ร.ฟ.ท.ควรเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนในงานโครงสร้างพื้นฐานของระบบเดินรถด้วยไฟฟ้า ในขณะที่ภาคเอกชนผู้ร่วมลงทุนเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนในขบวนรถ และงานอู่จอดและซ่อมบำรุง รวมถึงเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรูปแบบการร่วมลงทุน PPP Net Cost ซึ่งจะให้ผลประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และสามารถพัฒนาการขับเคลื่อนการขนส่งทางราง

158211421712

ทั้งนี้ โครงการนี้สามารถให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 22% โดย ร.ฟ.ท. จะได้ประโยชน์จากการพัฒนาทางคู่เป็นระบบไฟฟ้าเพื่อการเดินรถในอนาคต และได้รับผลตอบแทนจากเอกชนตามสัญญา นอกจากนั้น โครงการนี้จะช่วยลดมลพิษทางอากาศ ลดเวลาในการขนส่ง และเพิ่มสัดส่วนในการขนส่งทางรางสูงขึ้น ตามนโยบายหลัก ของกระทรวงคมนาคม

โดยหากโครงการได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (บอร์ด PPP) แล้ว คาดว่าจะเปิดประมูลได้เร็วที่สุดต้นปี 2564 และจะเปิดให้บริการปี 2569 โดยระยะเวลาของสัญญา ร่วมลงทุน ไม่น้อยกว่า 30 ปี ด้วยรูปแบบการร่วมลงทุนแบบ PPP Net Cost ซึ่งจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการพัฒนาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการขนส่งระบบรางของประเทศได้เป็นอย่างดี