'ประยุทธ์' โวตัวเองเป็นคนใช้ได้ไม่เอื้อใครไม่มีคดีทุจริต

'ประยุทธ์' โวตัวเองเป็นคนใช้ได้ไม่เอื้อใครไม่มีคดีทุจริต

"ประยุทธ์" ลั่นรบ.ไม่เอื้อประโยชน์ใคร ชี้ "ค่าโง่" แก้หมดจน "คลองด่าน" ไม่ต้องจ่าย เผยต้องให้ความเป็นธรรม "BEM" โววิธีทำงานถูก ขอให้เชื่อมั่นไม่มีคดีทุจริต แต่ถ้านโยบายผิด รับผิดชอบไม่หนี ยกตัวเป็นคนใช้ได้ ถาม "ซักฟอก" เชื่อผมหรือเขา

เมื่อวันที่ 19 ก.พ.63 เวลา 15.30 น. ที่บริเวณสวนรักษ์ธรรมชาติ (วงเวียนหลักสี่) ถนนพหลโยธิน เขตบางเขน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ตรวจติดตามความคืบหน้างานติดตั้งระบบเดินรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ และการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายใต้แนวคิดสวนสาธารณะลดฝุ่นละออง (PM2.5) ที่สวนรักษ์ธรรมชาติโดยมี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. พร้อมคณะผู้เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า มีความยินดีที่โครงการนี้สำเร็จ ซึ่งมีแผนจะทำที่อื่นด้วยในการปลูกต้นไม้ รวมทั้งการปลูกพืชคลุมดินที่มีดอกสวยงาม ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคนรอบๆ พื้นรวมทั้งม.เกษตรศาสตร์จะได้รับประโยชน์ โดยจะมีการก่อสร้างให้เสร็จโดยเร็ว ตนจะมาเปิดอยู่แล้ว ส่วนการแก้ปัญหา PM 2.5 มีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว ไม่ใช่การเผาอย่างเดียวมีเรื่องการจราจรด้วย ถ้าเราช่วยกันแก้แบบนี้วันหน้าดีขึ้น โดยรัฐบาลแก้ปัญหลายอย่างที่เป็นปัญหาซับซ้อนทับถมมานาน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การพัฒนาระบบขนส่ง รัฐบาลจะพยายามทำมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการก่อสร้าง หลายคนอยากให้ทำให้เร็ว แต่มีผลกระทบคนมีรายได้น้อย จึงต้องให้เวลาในการเตรียมการ แก้ไม่ง่ายแต่ต้องแแก้ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลทำอะไรได้มากพอสมควร อาจมากกว่าหลายเท่าของช่วงที่ผ่านมา ส่วนการลงทุนของภาครัฐก็ลดลง เพราะมีเอกชนมาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งมีสัญญาและทีโออาร์อยู่ ถึงเวลาก็ต้องทำตามเงื่อนไขไม่เช่นนั้นก็ฟ้องกันไปมา ตอนนี้ก็กำลังเคลียร์เรื่องสัมปทานทางด่วน BEM ก็ขอให้ฟังว่ารัฐบาลไม่ได้เอื้อประโยชน์ใคร เป็นสิทธิที่ทุกคนต้องดูแลซึ่งกันและกัน บางคนบอกว่าตนทำเส้นทางนี้เพื่อไปเอื้อประโยชน์ผ่านที่คนนั้นคนนี้ แต่ตนยังไม่รู้เลยว่าเส้นทางผ่านบ้านใครบ้าง ถามว่าโฉนดแปลงนี้ของใคร ตนก็ไม่รู้ แล้วมาหาว่าเอื้อประโยชน์ จะไปเอื้อได้อย่างไรถ้าตนทำแบบนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องค่าโง่ทั้งหมดมันเกิดขึ้นสมัยตนหรือไม่ มันเกิดมาตั้งแต่ปี 30 แล้ว แต่ทุกเรื่องต้องมาแก้ทั้งหมด เช่น กรณี BEM ก็ต้องให้ความเป็นธรรมเขา รวมถึงเรื่องคลองด่านตนก็แก้จนไม่ต้องเสียสตางค์ และเรื่องเหมืองอัคราก็ให้ความเป็นธรรมทุกคน เวลาเขาฟ้องมาถ้าตนไม่แก้อยู่เฉยๆ ก็สบาย ที่ผ่านมาทำกันแบบนี้ แต่วันนี้ต้องแก้ เมื่อแก้แล้วต้องเจ็บตัวทุกที แต่ก็ต้องแก้ไม่เช่นนั้นก็คาราคาซังวันหน้าก็ไม่แก้อีก ซึ่งการทำงานของรัฐบาลแบบที่เราทำ คิดว่าเป็นวิธีการทำงานที่ถูก เดินไปทีละขั้นให้ความเป็นธรรม โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ ถ้าเอาอะไรมาตีกันเพื่อหวังผลอย่างอื่นอย่างเดียว ตนคิดว่าไม่เป็นธรรมกับพวกเรา และสมัยก่อนก็ไม่ทำแบบรัฐบาลนี้ ใช้แต่งบประมาณรัฐอย่างเดียว มันก็ทำไม่ได้ และความร่วมมือจากภาคเอกชนก็ไม่เกิด ทุกอย่างเกิดได้ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งสิ้น คนรุ่นใหม่ก็ต้องคิดให้เป็นว่าจะพัฒนาประเทศอย่างไร ไม่ใช่เอาของเก่าพับเก็บใต้เก้าอี้แล้วเลิก ทำอันใหม่ทั้งหมด แบบนี้ก็ทำไม่ได้สักอย่างทุกอย่างมีความเป็นมา

"ขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลเชื่อมั่นในตัวผม ว่าผมไม่ต้องการเงินแม้แต่บาทเดียว หลายคนบอกผมปล่อยปละละเลย มีการทุจริต ผมถามว่าผมมีคดีหรือเปล่า ยังไม่มีนะ แต่คดีในฐานะเป็นนายกฯ 300 กว่าคดี แต่สู้ได้ ไม่มีปัญหา สามารถชี้แจงได้มันก็จบ คดีในฐานะเป็นนายกฯ ต้องรับผิดชอบทุกอัน แต่ในเรื่องของนโยบายถ้ามันผิดก็ต้องรับผิดชอบ แล้วก็ไม่หนีด้วย หนีไม่ได้อยู่แล้ว ผมเกิดที่นี่ผมตายที่นี่ แผ่นดินไทยผมรักษามา 40 ปี วันนี้พวกผมเข้ามาเพื่ออะไรก็เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินที่ให้ผมเกิด ผมก็จะตายในแผ่นดินผืนนี้ ผมจะทำร้ายเขาทำไม ผมเสี่ยงชีวิตปกป้องชายแดนมากี่ปี รบทัพจับศึกก็ผ่านมาพอสมควร ฉะนั้น ผมต้องรักแผ่นดินผืนนี้ ทิ้งไปไม่ได้ และผมก็ทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังไม่ได้" นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามหลายอย่างถ้าจ้องจะติกันอย่างเดียวมันง่าย เอามารวมๆ กันก็กลายเป็นว่านายกฯ ใช้ไม่ได้ ทั้งที่ตนเป็นคนใช้ได้ ทั้งนี้ ในส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ขอให้รอฟังว่าท่านจะเชื่อเขาหรือเชื่อผม ผมทำด้วยใจ เจ็บตัวบ้างอะไรบ้างผมทนได้ ขอให้ทุกคนได้เข้าใจผมและทีมงานทุกคน ถ้าพูดกันไปไม่มีหลักฐานไม่มีเหตุผลก็อย่าไปเชื่อกันมาก ตอนนี้เฟกนิวส์มันก็เยอะ

นายกฯ กล่าวว่า อีกอย่างที่ไม่อยากให้ทุกคนตื่นตระหนกแต่ต้องระวังก็คือเรื่องของโควิด-19 ถ้าเราป้องกันตัวเองก่อนหนึ่งชั้นจะปลอดภัย วันนี้ถือว่าเรารักษาสถานการณ์ได้ดีพอสมควร แต่เราประมาทไม่ได้เพราะหลายประเทศก็เกิดขึ้นจะไปห้ามคนไม่ให้ไปๆมาๆมากก็ไม่ได้ ต้องหามาตรการที่พอเหมาะพอควร และหลายๆประเทศก็หนัก เราก็ต้องให้กำลังใจเขาแล้วต้องหาความร่วมมือระหว่างประเทศในการผลิตวัคซีน ประเทศเราก็ได้รับคำชมมาตรการทุกอย่างดีหมด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไปจนควบคุมไม่ได้ ต้องมีหลักเกณฑ์ในการใช้ชีวิต เมื่อตื่นตระหนกก็ไปกันไม่ได้ สรุปไปไหนไม่ได้ก็อยู่กับบ้านดีกว่าแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจก็ตายกันหมดการวิจัยก็หายหมด ซึ่งวันนี้การท่องเที่ยวก็หายไปพอสมควรแต่จะไปบังคับให้เขาเข้ามาก็ไม่ได้ประเทศอื่นเขาก็ไม่อยากให้เข้ามา ซึ่งเราก็ต้องหาทางแก้ด้วยการให้คนไทยเที่ยวกันเอง แต่เดี๋ยวคนไทยดันไม่กล้าไปเที่ยวอีก คนเดียวเสร็จแล้วก็มาด่ารัฐบาลด่าพลเอกประยุทธ์คนเดียว ตนรับได้หมดเพราะอดทนไง ขันติโสรัจจะ ถ้าคนไทยรู้จักใช้ชีวิตที่ดีมีภูมิคุ้มกันที่ดีนั่นคือความรู้คู่คุณธรรม แต่เราอย่าฟุ่มเฟือยจนเกินไป มีมากใช้มากมีน้อยใช้น้อยไม่ใช่มีมากแต่ไม่ใช้เลยมัน มีมากยิ่งตรงต้องใช้เพราะคนข้างล่างจะได้มีเงินหมุนเวียนในระบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายนายกฯได้กล่าวท่อนหนึ่งบทกวนิพนธ์ของนภาลัย ฤกษ์ชนะ(สุวรรณธาดา)ท่อนที่ว่า

“อันศึกนอกศึกในนั้นไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง”

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเดินทางกลับพล.อ.ประยุทธ์ อารมณ์ดีเมื่อเห็นความก้าวหน้าโครงการและเมื่อเจอกลุ่มผู้สื่อข่าวได้ฮัมเป็นเพลง ”ซาโยนาระกู๊ดบาย” พร้อมโบกมือส่งยิ้มให้ผู้สื่อข่าว