สธ.ยันไทยไม่ปิดข้อมูล 'ไวรัสโคโรน่า' ขยายวงตรวจ 2 เท่ายังไม่เจอป่วยเพิ่ม

สธ.ยันไทยไม่ปิดข้อมูล 'ไวรัสโคโรน่า' ขยายวงตรวจ 2 เท่ายังไม่เจอป่วยเพิ่ม

สธ.ยันไทยไม่ปิดบังข้อมูลไวรัสโคโรน่า2019 คุมสถานการณ์ได้ดีเพราะตื่นเร็ว ออกมาตรการคัดกรองคุมเข้มชัดเจนหลังจีนเพียง 3 วัน บวกจีนห้ามคนเดินทางทำนักท่องเที่ยวหาย 90 % ย้ำขยายวงเฝ้าระวังตรวจ 2 เท่ายังไม่เจอผู้ป่วยเพิ่ม ยกระดับคัดกรอง 8 จังหวัด มุ่งคนไทย

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค(คร.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019ว่า สถานการณ์การระบาดในประเทศจีนดีขึ้น มีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายมากขึ้น ส่วนที่อยู่ระหว่างการรักษามีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่มาก ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยค่อนข้างคงตัว โดยมีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เท่าเดิมที่ 35 ราย หายป่วยกลับบ้านได้แล้ว 17 ราย ถือเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยหายกลับบ้านในอัตราสูงประเทศหนึ่ง ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 18 ราย
ในจำนวนนี้มีอาการรุนแรง 2 ราย อาการล่าสุดไม่มีไข้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด สำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 957 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 857 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังรักษาในโรงพยาบาล 100 ราย โดยเป็นคนไทยราว 45 % คนจีน 45 % และคนที่เดินทางจากประเทศอื่นที่มีการระบาดอีกราว 10 % ในส่วนของคนไทยยังเป็นกลุ่มที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีการระบาด

ยกระดับเฝ้าระวัง 8 จ.
ในส่วนของประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขได้ให้นโยบายในเรื่องการเฝ้าระวัง โดยมุ่งกลุ่มเสี่ยงคนไทยที่เป็นคนทำงานใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น พนักงานขับรถ คนทำงานที่ให้บริการต่างชาติ ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูง เพราะฉะนั้นใน 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต กระบี่ เชียงราย และเชียงใหม่ หน่วยงานด้านสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีดำเนินการยกระดับการเฝ้าระวัง หากมีผู้ป่วยมีไข้ อาการทางเดินหายใจ แม้ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ แต่สัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติใน 14 วัน กลุ่มนี้จะเฝ้าระวังและตรวจสาเหตุการป่วยด้วย จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าระบบเฝ้าระวังของประเทศไทยมีความเข้มแข็ งมีการขยายกลุ่มเป้าหมายในการเฝ้าระวัง หากมีการแพร่เชื้อจะทำให้รู้ทันที เพราะจะมีการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ(ห้องแล็บ)ร่วมด้วย

158210016131 158210032742
นายแพทย์โสภณ กล่าวถึงกรณีที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเมืองอู่ฮั่นเสียชีวิตว่า ขอแสดงความเสียใจ ซึ่งเมื่อมีการระบาดโรคจำนวนมาก ก็จะมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลมากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขาก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะเป็นจุดที่คนไข้มาก แต่หากปริมาณคนไข้ไม่มาก การป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลก็จะทำได้ดี แต่สถานการณ์ในประเทศจีน ผู้ป่วย 80 %อยู่ที่เมืองอู่ฮั่น และมีบุคลาการติดเชื้อมากกว่า 1,700 คน เสียชีวิต 6 คน ในหลายวิชาชีพและเป็นแพทย์ 2 คน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะปัจจุบันมีผู้ป่วยยืนยัน 35 ราย และกระจายรักษาอยู่ในหลายโรงพยาบาล จึงสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตามมาตรฐาน ส่วนกรณีที่มีบุคลากรโรงพยาบาลเอกชน ติดเชื้อ 1 รายก่อนหน้านี้นั้น เป็นเพราะช่วงที่ให้การดูแลผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็นไข้เลือดออก ยังไม่ยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จึงไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน ขณะนี้อาการดีขึ้น


ไทยได้รับคำชม
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับคำชมจากผู้เดินทางจากต่างประเทศในมาตรการสร้างการมีอส่วนร่วมของทุภาคส่วน อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า มีจุดเจลให้คนล้างมือ ตรวจคัดกรองไข้ ให้เอกสารคำแนะนำ ทำความสะอาดพื้นผิวจุดสัมผัสบ่อยมากขึ้น เช่น สายพานบันไดเลื่อน ลิฟต์ ลูกบิดประตู ซึ่งมาตรการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมจะเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือและทำให้ประเทศไทยสามารถชะลอการแพร่เชื้อได้ 

แจงมาตรการไทยเข้มข้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นักวิชาการต่างประเทศ 1 คนแสดงความสงสัยมาตรการเฝ้าระวัง ควบคุมโรคของไทยว่าน่าจะรายงานจำนวนผู้ป่วยต่ำกว่าความเป็นจริง นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า เวลามีประเทศอื่นดำเนินการได้ดีกว่าประเทศของตนเอง ก็จะมี 2 คำถามเกิดขึ้น คือ 1.เขาทำดีได้อย่างไร และ 2.สงสัยทำได้ดีจริงหรือไม่ ในส่วนของประเทศไทยที่ยังชะลอการแพร่ระบาดในวงกว้างไว้ได้ เป็นเพราะ 1.ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่มีมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองทั้งที่สนามบิน และสถานพยาบาลตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563หลังจากที่ประเทศจีนแจ้งการระบาดของโรคเพียง 3 วันเท่านั้น เป็นการทำก่อนหลายๆประเทศ แปลว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และ2.ไทยเป็นประเทศแรกที่ตรวจเจอผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019นอกประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดโดยผลยืนยันในวันที่ 13 มกราคม 2563 จากนั้นเจอผู้ป่วยยืนยันจำนวนมากต่อเนื่องส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน

นายแพทย์โสภณ กล่าวอีกว่า จะเห็นว่ามาตรการประเทศไทยเข้มมาตลอดตั้งแต่ต้น การที่เราทำเร็ว ก็ทำให้ประชาชนรับรู้เร็ว ก็จะตระหนักถึงความสำคัญ พูดง่ายๆคือตี่นก่อน จึงทำอะไรได้มากกว่าคนที่ตื่นทีหลัง จึงทำให้ทั้งระบบของไทยทั้งสนามบิน ท่าเรือ โรงพยาบาล ประชาชน ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยว ลุกขึ้นมากดำเนินการสิ่งต่างๆในเชิงป้องกันจำนวนมาก เพราะการเฝ้าระวังอย่างเดียวเพียงแค่รู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่ แต่การป้องกันร่วมด้วยทำให้ปัญหาลดลง จึงต้องถามกลับไปในประเทศที่สงสัยไทย มีการดำเนินการอะไรในเชิงป้องกันที่สะท้อนว่าเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการแพร่เชื้อหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเฝ้าระวัง แต่การป้องกันไทยทำเร็วกว่าที่อื่น

“ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และในภูมิภาคนี้ยกเว้นจีน ประเทศไทยมีการตรวจคัดกรองมากที่สุด และตรวจยืนยันซ้ำในผู้ป่วยที่ติดเชื้อและหายดีแล้วจะต้องแสดงผลเป็นลบติดต่อกัน 2 ครั้งถึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ รวมถึง มีการติดตามคนใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันทั้งหมด โดยให้อยู่ในสถานที่ที่จะสามารถติดตามและวัดไข้ได้ทุกวัน เมื่อเจอว่ามีอาการป่วยจึงนำเข้าสู่ระบบการรักษา ควบคุมโรคได้ทันที ซึ่งประเทศไทยดำเนินการมาตรการเหล่านี้มาตั้งแต่ที่ประเทศจีนยังไม่รายงานว่ามีการติดต่อคนสู่คน”นายแพทย์โสภณกล่าว 

158210035472

ขยายวงตรวจ 2 เท่าไม่เจอผู้ป่วย
นายแพทย์โสภณ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยตรวจคัดกรองมากขึ้น มีการขยายวงเฝ้าระวังคัดกรองเพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยให้ตรวจขยายวงในคนไทยที่ไม่ต้องมีประวัติไปต่างประเทศ แต่สัมผัสใกล้ชิดนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึง คนไทยที่กลับจากประเทศที่มีการระบาด และคนป่วยด้วยปอดอักเสบเฉียบพลันที่ไม่ทราบสาเหตุจะต้องตรวจเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019ทั้งหมด และขยายพื้นที่เป็น 8 จังหวัดที่มีรายงานการพบผู้ป่วยยืนยันแล้ว แม้ประเทศไทยมีการตรวจมากขึ้นเช่นนี้ แต่ก็ยังหาไม่เจอ ซึ่งคนทำงานก็อยากรู้เช่นกันว่ามีสถานการณ์การระบาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ บวกกับนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นพื้นที่ต้นตอโรคหายไปถึง 90 % จึงไม่มีผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่ตอนหลังเจอคนไทยป่วยมากขึ้นเพราะค้นหามากขึ้น แต่ขณะนี้เริ่มไม่มี เพราะโรคไม่เข้ามา ไม่มีการแพร่ต่อ แต่ฝากฝให้คนไทยช่วยกันดูว่าหากมีตรงไหนที่จะปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นได้อีก

ยันไทยไม่ปิดบังข้อมูล 
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าประเทศไทยไม่มีการปิดบังข้อมูลใช่หรือไม่ นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวว่า ต้องยืนยันในนามของกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีนโยบายเรื่องของการปิดบัง ทุกรายทำการค้นหา และค้นหาในวงกว้างมากขึ้นด้วย ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่รายงานพบผู้ป่วยยืนยันนอกประเทศจีน ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวและตระหนักว่าเรื่องนี้สำคัญ ซึ่งในผู้ป่วยยืนยันรายแรกของประเทศไทยเป็นผู้ป่วยนำเข้าทั้งสิ้น หากในช่วงเริ่มต้นไทยไม่มีการเฝ้าระวัง ไม่มีการคัดกรองเข้มข้น ปัจจุบันอาจมีการแพร่ระบาดเป็นหลักร้อย หลักพันแล้วก็เป็นไปได้ เพราะติดต่อจากคนสู่คน จึงขอให้มั่นใจว่าประเทศไทยไม่มีการปิดบังข้อมูลแน่นอน แต่จะเน้นการเฝ้าระวัง การค้นหาที่ขยายวงมากขึ้น 


ต่อข้อถามกรณีผู้ที่เดินทางแวะต่อเครื่องในประเทศที่มีการระบาดของโรคก่อนมาประเทศไทย นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวว่า ประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า2019ในประเทศ กรณีที่มีการแวะเพื่อรอต่อเครื่อง ประเมินความเสี่ยงแล้วไม่มาก หากช่วงเวลาที่อยู่ที่สนามบินมีการปฏิบัติตัวที่ดีเพื่อป้องกันตนเอง คือ ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ไม่สัมผัสกับคนป่วย เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย หากไม่สบายให้รีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทาง