อียูแก้กฎนำเข้าอาหาร “อุบัติใหม่” ต้องไม่เป็นจีเอ็มโอ

นายราฟาเอล เปเรซ เบอร์เบจัล เจ้าหน้าที่นโยบายอาวุโสด้านความปลอดภัยอาหารประจำคณะกรรมาธิการยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า ในขณะนี้ อียูได้ปรับกฎระเบียบว่าด้วยการขออนุญาตและการวางจำหน่ายอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ (Novel Foods) รวมถึงอาหารท้องถิ่นจากนอกกลุ่มสมาชิก ต้องไม่ใช่อาหารที่ได้จากการตัดแต่งพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอ รวมทั้งได้ลดขั้นตอนการพิจารณาอาหารผลิตขึ้นมาใหม่จาก4 ปีเหลือ2 ปี และอาหารท้องถิ่นนอกกลุ่มสมาชิก เหลือ 6 เดือน   

ซึ่งอียูจะอบรมให้ความรู้กับประเทศที่สนใจส่งออกสินค้าประเภทนี้ ตั้งแต่ปี 63-64 ประกอบในกลุ่มประเทศ แอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชีย ตะวันออกกลาง และอียู ซึ่งได้เลือกจัดที่ไทยเป็นครั้งแรก ในวันที่18-21 ก.พ. 63 เนื่องจากเห็นว่าไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก

สาระสำคัญของระเบียบดังกล่าว  จะครอบคลุมหมวดหมู่อาหารที่หลากหลายขึ้น จาก 4 เป็น 10 ประเภท ได้แก่อาหารที่มีหรือประกอบด้วยสัตว์ หรือชิ้นส่วนของสัตว์ เช่นแมลง วัตถุดิบที่มากแร่ จุลินทรีย์ที่มาจากกรเพาะเลี้ยง เซลล์และเนื้อเยื่อ สัตว์และพืช และอนุภาคนาโนเชิงวิศวกรรม โดยผู้ประกอบธุรกิจอาหารต่างๆ สามารถยื่นคำร้องขอการลงความเห็นจากประเทศสมาชิกเกี่ยวกับสถานะอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ ของอาหารหรือส่วนผสมชนิดหนึ่งได้

วิธีการนี้ จะทำให้การยื่นขอและการอนุมัติ มีประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่สามารถเข้าใจได้ง่าย อาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่จะให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของอาหารเป็นหลัก ในขณะที่อาหารท้องถิ่นที่มาจากประเทศนอกสมาชิกนั้น ต้องเป็นอาหารที่มีการรับประทานกันมาแล้วอย่างน้อย 25 ปี เมื่อได้รับการอนุมัติอียูจะจัดไว้ในยูเนียนลิสต์ แต่กรณีที่มีข้อโต้แย้งด้านความปลอดภัยอาหาร ผู้ยื่นอาจถอนหรือนำเอกสารฉบับเต็มมานำเสนอใหม่ตามขั้นตอน

ทั้งนี้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา  อียูได้อนุมัติอาหารดังกล่าวให้นำเข้าและวางจำหน่ายได้ รวม 10 กลุ่ม 180 ชนิด ในจำนวนนี้เป็นอาหารที่ผลิตใหม่ของสหรัฐอเมริกา 2 ชนิด แอฟริกา 1 ชนิด ส่วนของไทย อยู่ระหว่างการพิจารณา คือ จิ้งหรีด ทั้งลักษณะการส่งออกแบบทั้งตัว และเป็นแป้ง โดยอียูให้ความสนใจในอาหารกลุ่มที่เป็นตั๊กแตน หนอน โปรตีนที่สกัดจากพืช ด้วย

“แม้ว่าอาหารที่ผลิตขึ้นมาใหม่ ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย มูลค่าทางการตลาดยังมีน้อย แต่ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอนาคต เพราะจะเป็นแหล่งอาหารใหม่ที่รองรับความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ”