เลือกเล่นรายตัว

เลือกเล่นรายตัว

คาดภาวะตลาดจะเป็นลักษณะของการเลือกเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว รวมถึงแรงซื้อดักงบและปันผลปี 2019

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปิดทรงตัว +0.95 จุด (+0.06%) ปิดที่ 1,527 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุนโดยแม้ว่าจะได้แรงซื้อกลุ่ม ICT หลังราคาประมูลคลื่น 5G ไม่รนแรงอย่างที่ตลาดกังวล ประกอบกับมีแรงซื้อเล่นรีบาวด์กลุ่มโรงไฟฟ้าหลังราคาปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามมีแรงขายในกลุ่ม Fin และ Tourism กดดันให้ดัชนีอ่อนตัวลง ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,118 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,829 ล้านบาท แต่พลิกกลับมา Net Long TFEX 7,501 สัญญาเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลาง - ลบคาด SET Index อ่อนตัวลงทดสอบ 1,520 - 1,525 จุดก่อนจะสลับดีดตัว เนื่องจากภาวะตลาดยังขาดปัจจัยใหม่สนับสนุน โดยคาดว่านักลงทุนจะชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามผลประกอบปี 2019 ของบริษัทฯ รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส Covic-19 นอกจากนี้ภาวะตลาดยังมีแรงกดดันจากสภาพัฒน์ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงสู่ 1.5 – 2.5% (จากเดิม 2.7 – 3.7%) จากหลากหลายแรงกดดัน ประกอบกับ Fund flow ต่างชาติที่ยังคงไหลออกต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกันรวม 4.7 พันลบ. ดังนั้น คาดว่าภาวะตลาดจะเป็นลักษณะของการเลือกเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวรวมถึงแรงซื้อดักงบและปันผลปี 2019

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่ม ICT (ADVANC, INTUCH) คลายความกังวลจากการแข่งขันประมูลคลื่น 5G ไม่รุนแรง
  • กลุ่มพลังงาน (TOP, PTTGC, SPRC) อานิสงส์ค่าการกลั่นพลิกเป็นบวก
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD , KTC ) ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังกนง.ลดดอกเบี้ย 0.25%
  • กลุ่มส่งออก Elec (KCE, HANA, DELTA)  Food (CPF, TU) อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า

หุ้นแนะนำวันนี้

  • TU (ปิด 15.3 ซื้อ/เป้า 17.5) กำไรสุทธิ 4Q19 ออกมาตามคาดที่ 1.06 พันล้านบาท ทรงตัว yoy แต่หดตัว 23%qoq จากผลของฤดูกาล ส่วนแนวโน้ม 1Q20 คาดกำไรสุทธิโตโดดเด่นจากต้นทุนทูน่าที่ลดลงหนุน Gross profit เพิ่มขึ้น และยังได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์และยูโร
  • MCS (ปิด 10.5 ซื้อเก็งกำไร/เป้า Bloomberg consensus 12.8) คาดกำไรสุทธิ 4Q19 เพิ่มขึ้นโดดเด่นจากการส่งมอบงานโครงสร้างเหล็กให้กับโครงการก่อสร้างในญี่ปุ่น ขณะที่ปีนี้คาดผลกำไรโตต่อเนื่องเพราะมีงานโครงสร้างเหล็กในมือรอส่งมอบอยู่แล้วกว่า 1.3 แสนตันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4 พันล้านบาท (2-3 ปีก่อนมีรายได้เฉลี่ย 3.2 พันล้านบาท) Valuation ไม่แพง P/E ต่ำเพียง 8 เท่าและให้ Dividend yield สูงประมาณ 6%ต่อปี

บทวิเคราะห์วันนี้

TU (ปิด 15.3 ซื้อ/เป้า 17.5), PTTGC (ปิด 52.5 ถือ/เป้าใหม่ 52 เดิม 53)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) สภาพัฒน์ลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือโต 2% จากเดิม 3.2% แบงก์กรุงศรีมองแย่กว่าคาดโตเพียง 1.5% จากเดิม 2.5% : สภาพัฒน์ประกาศ GDP 4Q19 ขยายตัว 1.6% ต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส ส่งผลให้ทั้งปีเหลือขยายตัวเพียง 2.4% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี ส่วนปีนี้ภาพรวมยังมีความเสี่ยงขาลงเพราะฟันเฟืองขับเคลื่อนยังถูกกดดันจากปัจจัยลบรอบด้าน โดยเฉพาะปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19, ภัยแล้ง และ การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าของภาครัฐ เพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าวสภาพัฒน์จึงปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้ลงเป็น 2% (1.5-2.5%) จากเดิม 3.2%(2.7-3.7%) ขณะที่ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีมีมุมมองที่เป็นลบมากกว่าโดยคาด GDP ของไทยในปีนี้จะขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะโต 2.5% ถือเป็นสัญญาณลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น และหุ้นที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกลุ่ม Bank (สินเชื่อชะลอตัว NPLs เร่งตัวขึ้น)
  • (-) กลุ่มโรงแรม (ERW CENTEL) ยังน่าเป็นห่วง รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) ติดลบมากขึ้นในเดือน ก.พ. : จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นไปที่ผู้ประกอบการโรงแรม อาทิ ERW และ CENTEL ต่อปัจจัยชี้นำผลประกอบการในช่วง 1Q20 พบว่าโดยรวมมีสัญญาณที่แย่ลง โดยเฉพาะตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) ล่าสุดของเดือน ก.พ. ติดลบมากขึ้นเป็น 2digit เร่งตัวขึ้นจากเดือน ม.ค.ที่ติดลบเพียง 1digit และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังติดลบมากขึ้นอีกในเดือน มี.ค.หากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่ผ่อนคลายลงถือเป็น Overhang สำคัญกดดันราคาหุ้นในกลุ่มโรงแรมระยะสั้นเรายังแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงแรมออกไปก่อน
  • (-) PTTGC แจ้งกำไรสุทธิ 4Q19 น่าผิดหวังหดตัว 86%qoq และ 91%yoy แนวโน้ม 1Q20 ยังไม่ดีระยะสั้นยังไม่น่าลงทุน : PTTGC มีกำไรสุทธิใน 4Q19 ที่ 374 ล้านบาทหดตัว 86%qoq และ 91%yoy และต่ำกว่าที่ Consensus คาดไว้ถึง 64% เป็นผลจากทุกธุรกิจของ PTTGC ชะลอตัว นำโดย โรงกลั่นมีอัตราการผลิตลดลงเป็น 51% จาก 101% ใน 3Q19 จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเป็นเวลา 52 วัน ขณะที่ธุรกิจปิโตรฯสายอะโรเมติกซ์และโอเลฟินส์ราคาขายและส่วนต่างผลิตภัณฑ์ลดลงเนื่องจากมีซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดขณะที่ความต้องการลดลงจากผลกระทบของ Trade war ส่วนแนวโน้ม 1Q20 คาดผลกำไรยังอ่อนแอเนื่องจากบริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์อีก 3 แห่งคือ I4-1, I4-2 และ โรง Oleflex cracker เป็นเวลา 39 วัน, 35 วัน และ 37 วัน ตามลำดับ ด้วยผลกำไรที่อ่อนแอใน 4Q19 และ 1Q20 ระยะสั้นจึงแนะนำ switch การลงทุนไป TOP หรือ SPRC แทน