กทท.ชง'พีพีพี'สยามเกต งบลงทุนมิกซ์ยูสคลองเตย 3.3 แสนล้าน

กทท.ชง'พีพีพี'สยามเกต งบลงทุนมิกซ์ยูสคลองเตย 3.3 แสนล้าน

กทท.จ่อชงบอร์ดอนุมัติพีพีพีโปรเจค “สยามเกต” เม็ดเงินลงทุน 3.3 แสนล้าน เนรมิตท่าเรือคลองเตยเป็นมิกซ์ยูสริมเจ้าพระยา มั่นใจหากคมนาคมอนุมัติ จะเสนอ ครม. ภายในเดือนก.ย.นี้

     รายงานข่าวจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กทท. ในวันที่ 25 ก.พ. นี้ จะมีการเสนอแผนการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ภายใต้โครงการ สยามเกต ให้บอร์ดพิจารณาอนุมัติ โดยเบื้องต้น กทท.จะทำการปรับลดขนาดพื้นที่การให้บริการขนส่งสินค้าท่าเรือคลองเตยให้เหลือเพียง 500 ไร่ และนำพื้นที่ที่เหลืออีก 400 ไร่ ไปพัฒนาเชิงพาณิชย์

     โดยตั้งเป้าจะเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐ (พีพีพี) ภายใต้ระยะเวลาสัมปทาน 30-35 ปี ในแนวคิดพัฒนาให้เป็นโครงการผสมผสาน (มิกซ์ยูส) ริมน้ำเจ้าพระยา ประกอบไปด้วย โครงการก่อสร้างศูนย์การค้า ศูนย์การประชุม ศูนย์กลางทางการแพทย์ โรงแรมสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ รวมทั้งจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อ อย่างรถไฟฟ้าโมโนเรล ก่อสร้างถนนทางเดินเลียบริมน้ำ และสวนป่าเพื่อให้เป็นพื้นที่สาธารณะ

     อย่างไรก็ดี โครงการสยามเกต กทท.ศึกษาคาดว่าจะใช้วงเงินลงทุนรวมกว่า 3.33 แสนล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการรวม 10 ปี โดยแบ่งออกเป็น 2 เฟส ได้แก่ เฟสแรก ระหว่างปีที่ 1-5 คาดว่าจะใช้วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 9.3 หมื่นล้านบาท พัฒนาโครงการโรงแรมท่าเทียบเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (เฟอร์รี่) และศูนย์กลางทางการแพทย์

     ขณะที่เฟสสอง ที่จะดำเนินการในช่วงระหว่างปีที่ 6-10 ประเมินว่าต้องใช้วงเงินลงทุนราว 2.4 แสนล้านบาท ประกอบไปด้วย โครงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าหรือคอมเพล็กซ์ ศูนย์การประชุม สปอร์ตคอมเพล็กซ์ แกลลอรี่การจัดแสดง และการจัดสรรพื้นที่ให้เช่า เป็นต้น

     ขณะนี้ กทท.ได้ออกแบบโครงการสยามเกตไว้ในเบื้องต้นแล้ว หากบอร์ดเห็นชอบก็จะสามารถเสนอแผนพัฒนาดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ หากผ่านการอนุมัติ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติรูปแบบการร่วมทุน โดยคาดว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนขออนุมัติจาก ครม.ประมาณเดือน ก.ย.นี้

     “ตอนนี้ศึกษาโครงการไว้พร้อมหมดแล้ว ว่าจะพัฒนาเป็นรูปแบบใดจึงจะเหมาะสม ซึ่งการท่าเรือฯ ก็เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับองค์กรอย่างมหาศาล ซึ่งปกติการท่าเรือฯ จะมีรายได้จากการขนส่งสินค้าราว 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท แต่หากทำโครงการนี้เชื่อว่าจะมีรายรับเฉพาะค่าเปิดหน้าดินให้เอกชนเข้ามาทำประโยชน์ได้มากถึง 8 หมื่นล้านบาท ยังไม่รวมกับค่าเช่าที่จะได้รับในระยะอีก 30 ปี จะสร้างรายได้ให้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง”