เปิด 7 เงื่อนไขการขออนุญาตฎีกา 'คดีทุจริตอัลไพน์'

เปิด 7 เงื่อนไขการขออนุญาตฎีกา 'คดีทุจริตอัลไพน์'

"โฆษกศาลยุติธรรม" เผยข้อกม. ขออนุญาตฎีกา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ มีเงื่อนไข 7 ข้อ ระบุ คดียงยุทธอัลไพน์ ตั้งต้นศาลอาญาคดีทุจริต ต้องยึด พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาคดีทุจริต ต่างจาก ป.วิ.อาญา คดีทั่วไป

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.63 นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม อธิบายถึงข้อกฎหมายการขออนุญาตฎีกา ภายหลังวันนี้มีการอ่านคำสั่งศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทยจำเลย คดีทุจริตที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปีว่า คดีนี้เป็นคดีที่ฟ้องภายหลังจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเปิดทำการแล้ว จึงต้องใช้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาบังคับ

ซึ่งมาตรา 42 กำหนดว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้เป็นที่สุด หากคู่ความประสงค์จะฎีกาต้องปฏิบัติตามมาตรา 44 ที่กำหนดให้การฎีกาผู้ฎีกาต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาไว้พิจารณาพร้อมกับคำฟ้องฎีกาด้วย ซึ่งเหตุที่ศาลฎีกาจะพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้ ระบุไว้ในมาตรา 46 คือต้องเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยซึ่งรวมถึงปัญหาดังต่อไปนี้  (1) ปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ (2) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา  (3) คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกามาก่อน

(4) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบขัดกับคำพิพากษา หรือคำสั่งอันถึงที่สุดของศาลอื่น (5) เมื่อจำเลยต้องคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต (6) เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วอาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ (7) ปัญหาสำคัญอื่นตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาซึ่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกาได้กำหนดปัญหาสำคัญอื่นเพิ่มเติมอีก 2 กรณีคือ

(1) คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีความเห็นแย้งในสาระสำคัญ

(2) คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้วินิจฉัยข้อกฎหมายสำคัญที่ไม่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันกับประเทศไทยส่วนเรื่องการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกาก็เป็นสิทธิที่จำเลยพึงกระทำได้ซึ่งหากมีการยื่นขอปล่อยชั่วคราวมาทางองค์คณะก็จะเป็นผู้พิจารณาคำร้องดังกล่าวว่าเห็นควรส่งให้ศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยหรือพิจารณามีคำสั่งได้เลย

โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับคดีอาญาทั่วไป หรือเป็นกรณีที่ฟ้องก่อนจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ก็จะต้องใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ( ป.วิ.อ.) ซึ่งหากคู่ความจะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องปฏิบัติตามมาตรา 221 ที่บัญญัติว่าในคดีซึ่งห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 , 219 , 220 ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป

กรณีของนายยงยุทธนี้ จึงจะมีความแตกต่างกับการรับรองฎีกาใน ป.วิ.อ.ดังกล่าวที่เพียงให้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์ที่พิจารณา หรือลงลายมือชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้ง รับรองฎีกา หรือให้อัยการสูงสุดรับรองฎีกา