มองเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

มองเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะยังคงต้องพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเป็นหัวจักรสำคัญอยู่หรือไม่ และหากต้องพึ่งพาจริงๆ ไทยจะต้องปรับตัวด้านการท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง เพื่อรับมือสถานการณ์ในภายภาคหน้าที่ไม่คาดคิด ดังเช่นสถานการณ์วิกฤติไวรัสโคโรน่าที่ต้องเผชิญในปัจจุบัน

ปัจจุบันเราเป็นห่วงกันว่าเศรษฐกิจไทยคงจะขยายตัวได้น้อยมากในครึ่งแรกของปีนี้ เพราะมีปัจจัยลบต่างๆ รุมเร้า ได้แก่

1.ความตื่นตระหนกเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าที่ยังระบาดอย่างหนัก (แม้ว่าอัตราการเสียชีวิตจะยังต่ำอยู่ที่ประมาณ 2% ของผู้ที่ติดเชื้อ)

2.ปัญหาภัยแล้งที่จะรุนแรงยิ่งขึ้นในไตรมาส 2 

3.ปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นและน่าจะเป็นปัญหาเช่นนี้ทุกๆ ปี จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การใช้รถไฟฟ้าแทนรถที่ใช้เครื่องสันดาปภายใน

4.ความล่าช้าของการผ่านกฎหมายงบประมาณ ซึ่งหวังว่าจะเป็นปัญหาชั่วคราว แต่หากการเมืองขาดเสถียรภาพก็อาจเป็นปัจจัยที่จะกระทบกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลได้อีกบ่อยครั้งในอนาคต

ปัญหาข้อที่ 1 นั้นปัจจุบันคงจะมีผู้รู้เขียนวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่กำลังส่งผลกระทบที่รุนแรงมากที่สุด ซึ่งจากข้อมูลที่ปรากฏนั้น ส่วนใหญ่จะมองว่าน่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับกรณีของ SARS ที่มีผลกระทบรุนแรง แต่ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ไม่น่าจะเกิน 3-5 เดือน เมื่อควบคุมการระบาดของโรคได้ เมื่อค้นพบยารักษาและเมื่อพัฒนาวัคซีนป้องกันได้ก็จะทำให้สภาวการณ์กลับมาสู่ปกติได้ในเวลาไม่นานมากนัก และหากจีดีพีชะลอตัวลงในไตรมาส 1 ก็จะเร่งตัวในไตรมาส 2 ถึง 4 เพื่อทดแทนผลผลิตที่ลดลงไปได้ส่วนหนึ่ง

ในระหว่างนี้ก็ได้มีการนำเสนอข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวออกมาเป็นระยะ ซึ่งผมก็ขอย้ำว่าเท่าที่ผ่านมานั้นปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่านั้นมีดังนี้

1.แม้จะมีอัตราการเสียชีวิตต่ำแต่การติดเชื้อแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วอย่างมาก เพราะผู้ที่ติดเชื้อนั้นในช่วงแรกจะไม่มีอาการไม่สบาย ทำให้มีโอกาสสูงที่จะทำให้ผู้อื่นติดเชื้อตามไปด้วย

2.ผู้ที่เสียชีวิตนั้นเกือบทั้งหมดอายุ 50 ปีขึ้นไป ในบางกรณีที่อายุ 30-40 ปีจะเสียชีวิตเพราะมีโรคประจำตัว ทำให้มีภูมิต้านทานต่ำอยู่ก่อนแล้ว

3.ผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ได้แก่ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคปอดอุดตันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) เสี่ยงที่จะเสียชีวิตหากติดเชื้อไวรัสโคโรน่า

ผมเชื่อว่าแม้จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้นอีกเป็นพันๆ คนต่อวัน ตลาดหุ้นก็จะไม่ตื่นตระหนกต่อไปอีกแล้ว ตราบใดที่การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศจีน แต่หากมีการแพร่ขยายของโรคนี้อย่างรวดเร็วไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างเร่งตัวในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ตลาดหุ้นจะตื่นตระหนกได้อีกครั้ง

แต่ที่สำคัญคือการมองปัจจัยเสี่ยงนี้ในระยะยาว กล่าวคือจะมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ในอนาคต ซึ่งคำตอบคือน่าจะมีเกิดขึ้นได้อีก โดยมีนักวิชาการชื่อ Matan Shelomi ที่ National Taiwan University ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่าไวรัสก็จะพยายามหาทางให้ตัวเองอยู่รอด ดังนั้นไวรัสที่แพร่ขยายตัวเองได้ง่าย (จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือจากสัตว์ไปสู่คน) โดยที่ไม่ได้ทำให้เจ้าภาพ (host) ล้มตายเร็วเกินไป เช่น ไข้หวัดใหญ่ (ประเภท A และ B) นั้น จะกลับมาทุกปี เป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตปีละ 290,000-650,000 คน (แหล่งข้อมูล: องค์การอนามัยโลก) แต่มนุษย์เราก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะอัตราการเสียชีวิตจากการ “ติด” ไข้หวัดใหญ่นั้นต่ำเพียง 0.01% (แต่อัตราการเสียชีวิตจะสูงกว่ามากสำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีหรือมากกว่า)

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือ หากมีไวรัสพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรง มนุษย์ก็จะสามารถคิดค้นหายารักษาและผลิตวัคซีนออกมาป้องกันให้ได้ในที่สุด ดังนั้นไวรัสดังกล่าว (และไวรัสอื่นๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน) ก็จะต้องหลบตัวกลับไปแฝงตัวอยู่ในสัตว์ป่า เพราะไม่มีทางที่มนุษย์จะนำเอาวัคซีนไปฉีดป้องกันการระบาดในสัตว์ป่าดังกล่าวได้ ดังนั้นความเสี่ยงในอนาคตที่มนุษย์จะต้องเผชิญกับไวรัสเช่นโคโรน่าไวรัส COVID-19 คือการที่มีจำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและต้องเข้าไปแสวงหาบุกเบิกทรัพยากรธรรมชาติแหล่งใหม่ๆ ทำให้มนุษย์ต้องเข้าไปใกล้ชิดกับสัตว์ป่าที่มีไวรัสดังกล่าวแฝงตัวอยู่

สำหรับประเทศไทยนั้นก็มีความชัดเจนมากว่าพัฒนาการทางเศรษฐกิจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นการพัฒนาไปสู่การพึ่งพาภาคบริการ (การท่องเที่ยว) มากขึ้นและความสำคัญของภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรลดลง ซึ่งผมขอสรุปดังปรากฏในตารางข้างล่าง

158105870921

โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 น่าจะกระทบเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก เพราะในช่วงที่ผ่านมาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้เปลี่ยนแปลง (โดยไม่ได้ตั้งใจ) ไปสู่การพึ่งพาภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวอย่างมากเกินที่ใครจะคาดเดาได้ เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยที่ไทยต้องเผชิญกับโรค SARS เมื่อ 17 ปีก่อนหน้าในปี 2003 กล่าวคือ

ภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมนั้น ไม่ได้เป็น growth driver ของประเทศไทยมานานแล้ว และภาคเศรษฐกิจที่โดดเด่นที่สุดคือ การท่องเที่ยว ซึ่งจีนมีส่วนสำคัญในการผลักกันปรากฏการณ์นี้ เพราะในปี 2003 ที่โลกเผชิญโรค SARS นั้นมีนักท่องเที่ยวจีนมาประเทศไทยเพียง 6 แสนคน แต่ในปี 2019 นั้นจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่รัฐบาลไทยไม่น่าจะได้เคยคาดการณ์หรือวางแผนทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นแต่อย่างใด

ประเด็นคือในอนาคตนั้นเราจะปล่อยให้เศรษฐกิจไทยเดินไปในทิศทางนี้ต่อไปอีกหรือไม่ เพราะสามารถประเมินตัวเลขคร่าวๆ ได้ว่า หากยังต้องการอาศัยการท่องเที่ยวเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ประเทศไทยคงจะต้องรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 20-25 ล้านคนใน 10 ปีข้างหน้า กล่าวคือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจาก 15 ล้านคนในปี 2010 มาเป็น 40 ล้านคนในปี 2019

ดังนั้นหากในอีก 10 ปีข้างหน้าไทยจะยังต้องการพึ่งพาการท่องเที่ยว เศรษฐกิจไทยก็คงจะต้องสามารถรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกจาก 40 ล้านคน เป็น 60-65 ล้านคนในปี 2029 ซึ่งสัดส่วนของนักท่องเที่ยวจีนอาจจะต้องเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 25% เป็นประมาณ 30-35% (20 ล้านคน) เพราะประเทศจีนจะยังเป็นแหล่งผลิตนักท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในโลกต่อไปอีก ดังที่เห็นได้จากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นจาก 20 ล้านคนในปี 2003 มาเป็น 150 ล้านคนในปี 2019 ดังนั้นหากจะมีคนจีนท่องเที่ยวทั่วโลกประมาณ 250-300 ล้านคนในปี 2029 (20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของจีน) การที่จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยปีละ 20 ล้านคนก็น่าจะเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลและมีความเป็นไปได้

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่าการต้องรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอีก 20-25 ล้านคนจากฐานปัจจุบันที่ 40 ล้านคนนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ท้าทายการบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศเป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือ หากรองรับจำนวนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้ การท่องเที่ยวก็จะไม่ได้มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีพลังมากเท่ากับช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา เพราะฐานที่โตขึ้นอย่างมาก กล่าวคือในช่วงที่สัดส่วนของกิจกรรมโรงแรมเพิ่มจาก 3.6% ของจีดีพีมาเป็น 6.3% ของจีดีพีในช่วง 2010-2019 นั้น ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 15 ล้านคนเป็น 40 ล้านคนหรือเพิ่มขึ้น 166% แต่ในอนาคตหากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 40 ล้านคนเป็น 65 ล้านคนในช่วง 2020-2029 นั้น สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจะเท่ากับ 62.5%เท่านั้น

ดังนั้นประเทศไทยจึงจะต้องขบคิดดูว่าหากแรงขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยวจะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ลดลงแล้ว เราจะมีทางเลือกอื่นๆ อีกหรือไม่ เช่น จะต้องหันกลับไปทำการเกษตร (สมัยใหม่) เพิ่มขึ้นมาทดแทนอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม หรือจะแสวงหาอุตสาหกรรมใหม่ๆ มาเป็นทางเลือกได้หรือไม่

จะเห็นได้ว่าการตั้งคำถามว่าประเทศไทย (และคนไทย) จะ “หากิน” อย่างไรในอนาคตนั้น เป็นการตั้งคำถามที่ตอบได้ยากและเป็นการตั้งคำถามที่แตกต่างจากแนวทางปัจจุบันคือรัฐบาลทุ่มเทและชี้ชวนให้เอกชนมารีบเร่งลงทุนในอีอีซีโดยมีเมนูให้เลือกมากมาย แต่ผมยังไม่เห็นความชัดเจนว่าทางเลือกที่มีอยู่มากมายนั้น ทางเลือกใดจะเหมาะสมกับศักยภาพของคนไทยหรือของประเทศไทยมากที่สุดและประเทศไทยคงให้ลำดับความสำคัญกับสาขาเศรษฐกิจสาขาใดหรืออุตสาหกรรมประเภทใด การกำหนดลำดับความสำคัญนี้เป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าต้องทำเพราะจะเป็นการบังคับให้ต้องประเมินปัจจัยต่างๆและสภาวการณ์อย่างครบถ้วนและถูกต้องจึงจะสามารถนำมาซึ่งข้อสรุปดังกล่าวได้

ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยอาจประเมินสภาวการณ์และศักยภาพแล้วสรุปว่าต้องยอมให้ภาคอุตสาหกรรม ต้องลดความสำคัญในเศรษฐกิจลงต่อไปอีก โดยในอีก 10 ปีข้างหน้าสัดส่วนอุตสาหกรรมต่อจีดีพีอาจต้องเหลือต่ำกว่า 30% ของจีดีพี และอุตสาหกรรมที่จะต้องลดบาบาทลงมากที่สุดคือชิ้นส่วนรถยนต์ เพราะจะมีความต้องการชิ้นส่วนเพื่อรถไฟฟ้า(EV) ลดลงมาก อุตสาหกรรมที่ผลิตถุงพลาสติกและสินค้าขั้นพื้นฐานด้านปิโตรเคมีก็จะต้องลดปริมาณลงเช่นกัน นอกจากนั้นประเทศไทยก็กำลังจะขาดแคลนแรงงานอายุน้อยที่เหมาะกับภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย

แต่ภาคเกษตรนั้นอาจมองได้ว่าจะต้องปรับโครงสร้างอย่างเร่งรีบและตั้งเป้าว่าจะต้องมีสัดส่วนต่อจีดีพีเพิ่มจาก 5.7% ในปี 2019 มาเป็น 10% ในปี 2029 โดยการปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นผู้ผลิต “clean food for the world” ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในประเทศไทยและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศได้รวมด้วย แต่จะต้องหมายถึงการลดพื้นที่ในการเพาะปลูกข้าว(เพราะใช้ที่ดินและน้ำจำนวนมาก) และคนก็นิยมกินคาร์โบไฮเดรตลดลงอีกด้วย โดยจะเหลือแต่ข้าวคุณภาพสูงและเลือกการผลิตผักและผลไม้และพัฒนาให้มีมาตรฐานด้านสุขภาพสูงที่สุดในโลก นอกจากนั้นอุตสาหกรรม เช่น อ้อยและน้ำตาลก็จะลดความสำคัญลงเช่นกันเพราะผลกระทบต่อสุขภาพทั้งจากการที่น้ำตาลเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนแลการผลิตก็มีผลกระทบในด้านภาวะสิ่งแวดล้อมที่กำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้

ในส่วนของการท่องเที่ยวนั้นก็จะต้องขับเคลื่อนให้พึ่งพา medical tourism และ healthcare tourism มากขึ้น 

เพราะประชากรโลกก็แก่ตัวลงและสาขาดังกล่าวน่าจะมีมูลค่าเพิ่มและทำกำไรต่อหัวให้กับประเทศไทยได้มากกว่า นอกจากนั้นการพัฒนาให้ไทยเป็นที่พักพิงให้กับผู้เกษียณอายุในลักษณะsemi-retirement home สำหรับผู้สูงอายุที่ร่ำรวยสามารถมาพักผ่อนที่ประเทศไทยนาน 1-2 เดือนต่อปีในช่วงฤดูหนาวของประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกา ก็อาจเป็นโอกาสทางธุรกิจของประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย หมายความว่าจำนวน “นักท่องเที่ยว” ไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มขึ้นมากนัก แต่รายได้ต่อหัวจะสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญครับ