'AI' และ 'Big Data' กับวิกฤติไวรัสโคโรน่า

'AI' และ 'Big Data' กับวิกฤติไวรัสโคโรน่า

ความร่วมมือของบริษัทเทคโนโลยีในจีน นอกจากเป็นการช่วยเหลือประชาชน และรัฐบาลในการป้องกันการระบาดของไวรัสแล้ว ยังทำให้เห็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะ AI (เอไอ) และ Big Data (บิ๊กดาต้า) ที่มีส่วนทำให้วิกฤติครั้งนี้สามารถแก้ไขได้เร็วขึ้น

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ "ไวรัสโคโรน่า" หรือ "โควิด-19" (Covid-19) แพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทุกวันนี้โลกเชื่อมต่อกันมากขึ้น คนเดินทางไปมาหาสู่กัน มากขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกับในปี 2546 ที่มีการระบาดของโรคซาร์สต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะกระจายไปในหลายสิบประเทศทั่วโลก

นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้คนมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกันอย่างแพร่หลาย ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากเทียบกับปี 2546 กว่าที่ทางองค์การอนามัยโลกจะทราบจำนวนผู้ติดเชื้อก็มีระยะเวลาในการส่งข้อมูลที่นานกว่านี้ และไม่มีข้อมูลที่สามารถเห็นการแพร่ระบาดได้เท่ากับในปัจจุบัน

เอไอช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส

ไวรัสโคโรน่ามีการระบาดอย่างหนักในประเทศจีน ซึ่งปกติจะถูกระบุว่า เป็นประเทศที่มีการเก็บข้อมูลของประชากรอยู่จำนวนมาก และเป็นประเทศที่มีนักวิจัย และคนวงการไอทีที่มีความสามารถในด้านเอไออยู่มาก จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะทางด้านบิ๊กดาต้าและเอไอมาใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสในครั้งนี้

ข้อมูลการเดินทางของประชาชนในจีนถูกเก็บไว้ จึงทำให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบได้ว่าใครเดินทางไปไหน โดยเฉพาะเมืองที่เป็นแหล่งแพร่กระจายของโรค มีข่าวว่าประชาชนบางคนที่เดินทางไปยังอู่ฮั่น ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของไวรัสโคโรน่าในช่วงแรกๆ แล้วกลับมายังถิ่นฐานเดิมของตัวเองจะถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐมาหาถึงที่บ้านแล้วขอตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ทั้งๆ ที่หลายคนก็ไม่ได้แจ้งคนอื่นเลยเกี่ยวกับการเดินทางไปอู่ฮั่น แต่ทางรัฐบาลก็สามารถทราบได้จากข้อมูลบิ๊กดาต้า (Big Data)

นอกจากนี้การระบาดของไวรัสครั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนหลายแห่งก็ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแสดงข้อมูลต่างๆ ให้กับประชาชน เช่น วีแชท จัดทำแผนที่การระบาดแบบเรียลไทม์ รวมถึงข้อมูลของโรงพยาบาล และคลินิกสุขภาพให้กับประชาชน

รวมไปถึงบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างไชน่าโมบาย และไชน่ายูนิคอม ก็ช่วยส่งข้อความมากกว่า 4 พันล้านข้อความให้กับประชาชน เพื่อให้ทราบข้อมูลการแพร่ระบาดที่ถูกต้องและช่วยควบคุม ป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่หลายของข่าวลือ หรือข่าวลวงโดยเฉพาะจากสื่อสังคมออนไลน์ที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือตื่นตระหนกจนเกินเหตุ

พร้อมกันนี้มีการเปิดบริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ให้กับประชาชนที่มีเหตุฉุกเฉิน หรือต้องการคำปรึกษาใช้ฟรี และหลายบริษัททำแอพพลิเคชั่นให้คนตรวจสอบได้ว่าเดินทางมาทางเที่ยวบินหรือรถไฟขบวนเดียวกับคนไข้ที่ติดไวรัสหรือไม่

บริษัทหลายแห่งในจีนมีการนำเทคโนโลยีเอไอมาช่วยในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส เช่น ไป่ตู้ พัฒนาระบบเอไอที่ตรวจสอบอุณหภูมิโดยใช้ระบบอินฟราเรดและระบบจดจำใบหน้าที่นำไปใช้บริเวณสถานีรถไฟ เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิและจดจำใบหน้าของผู้โดยสารที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 37.3 องศา

ขณะที่บริษัท Megvii สตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบจดจำใบหน้า ก็ได้พัฒนาระบบเอไอเพื่อคัดกรองผู้ที่มีอุณหภูมิสูงจากฝูงชน แม้คนนั้นจะสวมหน้ากากก็ตาม และที่เมืองกว่างโจวมีหุ่นยนต์ในห้างสรรพสินค้าบางแห่งสามารถตรวจสอบคนที่ไม่สวมหน้ากากเดินผ่านไปมาได้

นอกจากนี้ไป่ตู้และอาลีบาบา ยังได้พัฒนาระบบเอไอในการจัดเก็บข้อมูลของประชาชนที่โทรศัพท์มาติดต่อสอบถามข้อมูลต่างๆ เกี่ยวไวรัสนี้ เพื่อจะนำไปพัฒนา และปรับปรุงการเฝ้าระวังให้ดีขึ้น ที่สำคัญสุดคือ ระบบเอไอยังถูกนำไปใช้ในการแพทย์เพื่อช่วยวิเคราะห์ "จีโนม (Genome)ไ ของไวรัส เพื่อที่จะหาแนวทางในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัส และอาลีบาบายังอนุญาตให้หน่วยงานวิจัยต่างๆ สามารถใช้ระบบเอไอขนาดใหญ่ของบริษัทเพื่อการวิจัยวัคซีนและยาตัวใหม่นี้ได้ด้วย

บริษัทเทคโนโลยีของจีนหลายแห่งร่วมกันบริจาคเงินมาช่วยสนับสนุน ทั้งการรักษาพยาบาล การป้องกันการระบาด และการวิจัยเพื่อแก้วิกฤติ เช่น อาลีบาบา บริจาค 1 พันล้านหยวน และให้การสนับสนุนทั้งระบบออนไลน์ อาหาร อำนวยความสะดวกแก่บุคลากรทางการแพทย์ ส่วนเทนเซ็นต์ บริจาค 300 ล้านหยวนในการจัดตั้งกองทุนป้องกันและควบคุมโรคระบาด 

ด้านไป่ตู้ บริจาค 300 ล้านหยวนในการจัดตั้งกองทุนวิจัยด้านยา ขณะที่บริษัทโทรคมนาคมทั้งไชน่าโมบาย ไชน่าเทเลคอม ไชน่ายูนิคอม และหัวเว่ยช่วย จัดหาอุปกรณ์ 5จี มาให้กับโรงพยาบาลแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นในเมืองฮูอั่น และมีเลอโนโว ช่วยบริจาคอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับโรงพยาบาล

ความร่วมมือร่วมใจของบริษัทเทคโนโลยีในจีน นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือประชาชน และรัฐบาลจีนในการป้องกันการระบาดของไวรัสแล้ว ยังทำให้เห็นว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะด้านเอไอ (AI) ที่อาจมีส่วนทำให้วิกฤติครั้งนี้สามารถแก้ไขได้เร็วขึ้นก็เป็นได้