Selective Buy

Selective Buy

คาด SET Index แกว่งตัว 1,525 - 1,540 จุด จากปัจจัยบวก/ลบที่คละเคล้า

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปรับตัวลง -7.07 จุด (-0.46%) ปิดที่ 1,533 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.6 หมื่นล้านบาท ตามทิศทางตลาดหุ้นรอบบ้านที่อ่อนตัวลงหลังจีนเปลี่ยนวิธีนับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส Covid-19 ใหม่ส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นซึ่งทำให้นักลงทุนกลับมากังวลสถานการณ์แพร่ระบาดอีกครั้งและกดดันให้ Fund flow ต่างชาติยังคงไหลออก ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงขายในกลุ่ม Petro, Energy และ Health ส่วนนักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นฝั่งขายสุทธิ 1,323 ล้านบาท และ Net Short TFEX 1,251 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 948 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

มุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัว 1,525 - 1,540 จุด จากปัจจัยบวก/ลบที่คละเคล้าโดยความกังวลจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ที่พุ่งขึ้นมากหลังจีนเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ในการนับจำนวนผู้ติดเชื้อจะเป็นลบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและทิศทางการลงทุน ซึ่งกดดันให้แนวโน้ม Fund flow ต่างชาติยังคงไหลออกต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขึ้นจากความคาดหวังว่ากลุ่มโอเปกและพันธมิตรจะลดกำลังการผลิตลงอีก 600,000 บาร์เรล/วันนั้นจะเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ปัจจัยบวกภายในจากมติสภาฯโหวตเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ในวาระ 2-3 และคาดว่าจะเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในช่วงกลางมี.ค.ซึ่งจะหนุนให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นได้

** 16 ก.พ. ติดตามการประมูลคลื่น 5G  700 MHz / 1800 MHz / 2600 MHz / 26 GHz

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มรับเหมา (STEC, CK, SEAFCO) กลุ่มนิคม (AMATA, WHA) สภาฯโหวตผ่านพ.ร.บ.งบปี 63 วาระ 2 , 3
  • กลุ่มพลังงาน (TOP, PTTGC, SPRC) อานิสงส์ค่าการกลั่นพลิกเป็นบวก
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD , KTC ) ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังกนง.ลดดอกเบี้ย 0.25%
  • กลุ่มส่งออก Elec (KCE, HANA, DELTA)  Food (CPF, TU) อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า

หุ้นแนะนำวันนี้

  • MTC (ปิด 68 ซื้อ/เป้าสูงสุด IAA Consensus 78 บาท) คาดกำไรสุทธิ 4Q19 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกหนึ่งไตรมาส (เป็นบริษัทเดียวในตลาดฯที่กำไรเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียน) จากยอดสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ตามนโยบายขยายสาขาเชิงรุก โดย ณ สิ้น 4Q18 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 4,100 สาขา เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีเพียง 3,280 สาขา
  • LH (ปิด 9.55 ซื้อ/เป้า 11.5) หุ้นกลุ่มอสังหาฯทยอยประกาศงบออกมาอย่างต่อเนื่องส่วนใหญ่โดดเด่นที่เงินปันผล LH เป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้ Dividend yield สูง ราคาหุ้นที่ลดลงมองเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อเพื่อรับเงินปันผลในปีครึ่งหลัง (2H19) ซึ่งคาดว่าจะประกาศจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 0.40 บาทต่อหุ้น ให้ Dividend yield ประมาณ 4%

บทวิเคราะห์วันนี้

LPN (ปิด 5.25 ปรับเป็นซื้อ/เป้าใหม่ 6.1 เดิม 4.8)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) ในที่สุดก็ผ่านไปได้ วานนี้สภาผู้แทนฯ ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ในวาระ 2-3 เตรียมเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อคาดเบิกจ่ายงบได้ในเดือน มี.ค.: วานนี้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ในวาระที่ 2 และ 3 ด้วยคะแนนเสียง 257 เสียง ถือเป็นข่าวดีกับตลาด แม้ในระหว่างการพิจารณาจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นโดยเฉพาะการพิจารณาในมาตรา 6 ซึ่งมีจำนวน ส.ส.ไม่ครบองค์ประชุมส่งผลให้ประธานสภาฯต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด แต่ก็สามารถดำเนินการต่อไปได้จนครบทั้ง 55 มาตรา โดยขั้นตอนต่อจากนี้ จะส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาอีกครั้ง จากนั้นนายกฯจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ และคาดว่าประกาศเป็นกฏหมายและสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ในเดือน มี.ค.เป็นบวกต่อกลุ่ม รับเหมาฯ และนิคมฯ Top pick: CK, STEC, SEFCO และ AMATA
  • (+/-) กลุ่มสื่อสาร - วันอาทิตย์นี้ติดตามการประมูลคลื่น 5G เราคงมุมมองเดิมคาดการประมูลไม่รุนแรงเป็นบวกต่อ Sentimentรวมของกลุ่ม Top pick – ADVANC: ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ กสทช.จะเปิดประมูลคลื่น 5G ซึ่งครั้งนี้ กสทช.ทำการประมูลแบบ Multi brand โดยนำคลื่นออกมาประมูลหลายคลื่น ประกอบด้วย 700MHz, 1800MHz, 2600MHz และ 26GHz โดย ADVANC, TRUE และ CAT สนใจจะยื่นประมูลในคลื่น 700MHz, 2600MHz และ 26GHz ขณะที่ DTAC และ TOT สนใจยื่นประมูลคลื่น 26GHz เพียงคลื่นเดียว เราคงมุมมองเดิมว่าการแข่งขันในครั้งนี้จะไม่รุนแรงเนื่องจากมีใบอนุญาติออกมาประมูลจำนวนมาก หากเป็นไปตามที่เราคาดไว้คาดต้นทุนต่อใบอนุญาติของผู้ประกอบการจะไม่พุ่งสูงเหมือนรอบการประมูล 4G ส่งผลดีต่อ Cash flow และผลกำไรของผู้ประกอบการ โดยหุ้นกลุ่มนี้เรายังเลือก ADVANC และ INTUCH เป็น Top pick ของกลุ่ม
  • (+) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน - ตลาดยังคาดหวังกลุ่ม OPEC+ จะปรับลดกำลังการผลิตช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบค่อยๆฟื้นตัว: ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นอีก 25 เซนต์ (+0.5%) ปิดที่ระดับ 51.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้ตลาดจะยังสับสนกับรายงานตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ในจีน (จีนเปลี่ยนวิธีนับ) ซึ่งอาจจะมีผลต่อดีมานด์ความต้องการน้ำมันดิบในอนาคต อย่างไรก็ตามด้วยราคาน้ำมันดิบที่ลดลงกว่า 25% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาทำให้ down side เริ่มจำกัด ประกอบกับนักลงทุนยังคาดหวังว่ากลุ่ม OPEC+ จะปรับลดกำลังการผลิตอีก 6 แสนบาร์เรลต่อวันเพื่อชดเชยอุปสงค์ที่ลดลงช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบค่อยๆฟื้นตัวเป็นบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องทั้งกลุ่มธุรกิจน้ำมันและโรงกลั่น