จับตาวุฒิสภาพิจารณาร่างงบประมาณ 63

จับตาวุฒิสภาพิจารณาร่างงบประมาณ 63

ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวขึ้นลง สวนทางกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก

โดยตลาดภายในประเทศเผชิญแรงขายทำกำไรในกลุ่มโรงไฟฟ้า ประกอบกับนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังรอผลการพิจารณาร่างงบฯ 63 วาระ 2-3  ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,532.77 จุด (-7.07 จุด) Volume 4.6 หมื่นลบ. ต่างชาติ -1,323.11 ลบ. TFEX Net  -1,251 สัญญา

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 25 เซนต์ +0.5% ปิดที่ 51.42 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตรจะเพิ่มการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อพยุงราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงจากกังวลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

+สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 2,000 รายสู่ระดับ 205,000 รายน้อยกว่าคาดที่ระดับ 210,000 ราย

+สหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปในเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.5%YoY สูงสุดนับตั้งแต่ต.ค.61 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนธ.ค.

+กลุ่มปตท. เตรียมเงินลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท ในช่วง 5 ปี (63-67) เพื่อลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดในไทยเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน

+สภาผู้แทนฯ ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 วาระ 2-3

-ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 128.11 จุด -0.43% กังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากจีนเปิดเผยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นอย่างมาก โดยมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนเกณฑ์ในการนับจำนวนผู้ติดเชื้อ

- เดือนมี.ค.ธปท.เตรียมปรับคาดการณ์ GDP ปี 2563 ใหม่เหลือ 1.3% จากเดิม 2.8% จากผลกระทบภาคการท่องเที่ยวและงบประมาณฯปี 63 ที่ล่าช้ากว่าคาด และคาดไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวไม่ถึง 1%

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 24,940.57 ลบ. ค่าเงินบาท 31.10 บาท/US

*จับตาวุฒิสภาโหวดร่างงบประมาณฯปี 63 และสหรัฐเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้น ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยมีแรงกดดันหลังคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนปรับเกณฑ์การคำนวณผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 1.48 หมื่นคน ส่วนปัจจัยในประเทศนักลงทุนยังคงติดตามวุฒิสภาพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายปี 63 ในวันนี้ คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,525-1,540 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (TU CPF)
  • หุ้นได้ประโยชน์จากกการเบิกจ่ายงบประมาณ (CK STEC SEAFCO PYLON)
  • หุ้นได้รับประโยชน์จากการประมูล 5G (SAMART INSET ITEL ALT )

หุ้นรายงานพิเศษ

KCE : Analyst Meeting (ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 19.52)

+/- กำไรสุทธิ 4Q19 เท่ากับ 252 ล้านบาท ทรงตัว -1.3% QoQ และลดลง -29.2% YoY (ดีกว่าตลาดคาด 25%) โดยมีสาเหตุหลักจาก
1) มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 38 ล้านบาท
2) ต้นทุนขายลดลงจากค่านายหน้าที่ลดลงตามยอดขาย
3) Gross margin ปรับตัวดีขึ้นจากการทำ Cost saving ที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ผลการดำเนินงานทั้งปี 19 มีกำไรสุทธิรวม 934.5 ล้านบาท ลดลง 53.6% เนื่องจากการลดลงของรายได้ขาย ต้นทุนขายสินค้าที่สูงขึ้น และการลดลงของกำไรขั้นต้น รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาท

+ทิศทางผลประกอบการปี 20 ยังเติบโตได้ดี โดยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ราว 10-15% เมื่อเทียบกับฐานต่ำในปี 19 ประกอบกับราคาทองแดงที่เริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงต้นปี และการลดพนักงงานจาก 5,100 คน ตั้งเป้าให้เหลือ 4,500 คน ภายในกลางปีนี้จะส่งผลให้ gross margin ปรับตัวดีขึ้นชัดเจน

ความเห็น : เรามีมุมมองเชิงบวกจากประชุมนักวิเคราะห์ เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และได้อานิสงส์ของค่าเงินบาทที่อยู่ในทิศทางอ่อนค่า จะผลักดันผลประกอบการในปี 20 ให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

หุ้นมีข่าว   

·      LPN analyst meeting (ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 4.84 บาท)ถือ” เก็บเงินปันผล

กำไรสุทธิปี 62 เท่ากับ 1,256 ล้านบาท -8% ดีกว่าคาดเล็กน้อย 2.5% แม้มีอัตรากำไรขั้นต้นจากรายได้หลักปรับดีขึ้นเป็น 32.15% จาก 30.92% แต่รายได้รวม ลดลง 11% และคชจ.ในการบริหารเพิ่มขึ้น 1.4% บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังหุ้นละ 0.4 บาท  yield 7.7%

ภาพรวมอุตสาหกรรมปี 63 supply ยังมีเหลืออยู่มาก บริษัทจึงมีเป้ายอดจอง มูลค่าโครงการเปิดใหม่ และรายได้ เท่ากันที่ 1 หมื่นลบ.รายได้ใกล้เคียงกับปี 62 โดยมี backlog ราว 3.6 พันลบ. มี 6 โครงการ ที่จะเสร็จพร้อมโอนมูลค่ารวม 7 พันลบ.มีกำหนดโอนใน Q1, Q 3 และ Q4 ส่วนโครงการอาคารสำนักงานที่ก่อสร้างใกล้เสร็จมีแนวโน้มขายออก

ความเห็น แผนการดำเนินปีนี้ยังคงอยู่ในลักษณะประคองตัวท่ามกลาง supply ที่ยังเหลืออยู่มาก และอัตราปฏิเสธสินเชื่อของอุตสาหกรรมที่สูงกว่าปกติ แต่บริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราเท่ากับปีที่ผ่านมาทำให้ yield ทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 11% แนะนำถือยาวรอเก็บเงินปันผล

·      (+) TMB (ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 1.69 บาท) "อีสท์สปริง" จ่อควบรวม 2 บลจ."ทหารไทย-ธนชาต" ภายในปี 64 วางแผนเข้าถือหุ้น 100% ใน 5 ปีข้างหน้า ย้ำผู้บริหารระดับสูงยังเป็นคนไทย ผสานจุดแข็งหวังดัน เอยูเอ็มเติบโตกว่า 10% ต่อปี จากปัจจุบัน ทั้ง 2 บลจ.มีส่วนแบ่งตลาด 12% ขึ้นแท่น อันดับ 4 ของไทย (ที่มา กรุงเทพธุรกิจ)

·      TQM (Bloomberg Consensus 68.25 บาท) เสิร์ฟแคมเปญรับเทศกาลความรัก จับมือพันธมิตร 10 บริษัทประกันภัยออกแรงกระตุ้นยอดขายตลอดปีก้าวผ่านเศรษฐกิจชะลอ ชูแนวคิด ให้ประกันภัยเป็นของขวัญ ประเดิมเดือน ก.พ. กับแผนประกันสุขภาพ-โรคร้ายแรง-อุบัติเหตุ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ TQM ทางด้านผู้บริหารเผยมีแผนขยายตลาดลูกค้าองค์กร หลังแบรนด์ TQM แกร่งส่งผลต่อความเชื่อมั่น (ที่มา ทันหุ้น)

·      “กลุ่ม BGSR” (BTS-GULF-STEC-RATCH) เตรียมเซ็นสัญญา O&M มอเตอร์เวย์พร้อมกัน 2 สาย มี.ค.นี้ ล่าสุดกรมทางหลวงส่งร่างสัญญาให้อัยการสูงสุดตรวจสอบแล้ว ก่อนชงครม.  อธิบดีกรมทางหลวง” เผยสายบางปะอินฯทำงานได้ทันทีหลังลงนาม แต่สายบางใหญ่ฯขอดีเลย์ 6 เดือน ก่อนออกหนังสือให้เริ่มงาน (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      GPSC (Bloomberg Consensus 88.42 บาท) คาดผลดำเนินงานปี 2563 เติบโตต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้ GLOW เข้ามาเต็มปี และยังมองหาโอกาสลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ คาดปีนี้ได้ข้อสรุปโรงไฟฟ้าอาเซียน ด้านโบรกเกอร์ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นถือ หลังราคาหุ้นลงมาหนัก ประเมินกำไรไตรมาสแรกปีนี้เติบโต (ที่มา ทันหุ้น)

·      CPN (Bloomberg Consensus 75.35 บาท) อัดฉีดงบลงทุน 3 ปี 2.2 หมื่นล้านบาท ลุยโครงการมิกซ์ยูส 3 แห่ง พร้อมปรับโฉมโครงการเดิม 12 สาขา ทั่วประเทศ เล็งพัฒนาอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น ดันสัดส่วนรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายขึ้นมาเป็น 12% จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 7-8% ฟากโบรกคาดผลงานปี 2563 โต 38% ทะลุ 1.7 หมื่นล้านบาท จ่อรับรู้กำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากอง CPNREIT (ที่มา ทันหุ้น)

  • หุ้นกลุ่มน้ำตาล “KSL-BRR-KTIS-KBS” เด้ง! รับผลบวกราคาน้ำตาลโลกพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี จากภาวะน้ำตาลขาดตลาด คาดปริมาณอ้อยไทยปีนี้ลดลง 40% จากปีก่อน ทุบสถิติต่ำสุดในรอบ 10 ปี (ที่มา ข่าวหุ้น)
  • ศูนย์อสังหาฯ ธอส. ประเมินตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 63 โต 5-7% หลังผ่อนปรนมาตรการ LTV-อัตราดอกเบี้ยต่ำ พร้อมประเมินผลกระทบจากไวรัสโคโรนา ส่งผลต่อการโอนกรรมสิทธิ์ของลูกค้าชาวจีนลดลง 7,000 ล้านบาท (ที่มา ข่าวหุ้น)