เลือกเล่นรายตัว

เลือกเล่นรายตัว

คาดว่านักลงทุนจะยังคงชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามการประกาศงบ 2019 ของบริษัทฯ

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปรับตัวลง -11.31 จุด (-0.74%) ปิดที่ 1,523 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากขาดปัจจัยกระตุ้นการลงทุนอีกทั้งมีแรงขายกลุ่มพลังงานและปิโตรหลังราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลงจากความกังวลด้าน Demand นอกจากนี้ยังมีแรงขายกลุ่ม ICT หลังงบ ADVANC และ INTUCH ออกมาน้อยกว่าคาดส่งผลให้ดัชนีทรุดตัวลงแรง ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นฝั่งซื้อสุทธิ 548 ล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 293 ล้านบาท และ Net Short TFEX 628 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

มุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,515 - 1,535 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยใหม่สนับสนุนการลงทุน โดยแม้ว่าจะได้ข่าวบวกจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา (Covid-19) เริ่มชะลอตัวลงและเชื่อมั่นว่าการแพร่ระบาดจะเบาบางลงในช่วงถัดไป ประกอบกับสถานการณ์ Tradewar ที่ผ่อนคลายลงหลังจีนเตรียมลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์มีผล 14 ก.พ. อย่างไรก็ตาม คาดว่านักลงทุนจะยังคงชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามการประกาศงบ 2019 ของบริษัทฯ ประกอบกับความกังวล Fund flow ต่างชาติที่ยังคงชะลอตัวซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ทิศทางดัชนีมีความผันผวนในระยะนี้

** 13 ก.พ. ติดตามสภาฯโหวตพ.ร.บ.งบประมาณปี 63 วาระ 2 , 3 ใหม่

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังกนง.ลดดอกเบี้ย 0.25%
  • กลุ่มส่งออก Elec (KCE, HANA, DELTA)  Food (CPF, TU) อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า
  • กลุ่มพลังงาน (TOP, PTTGC, SPRC) อานิสงส์ค่าการกลั่นพลิกเป็นบวก

หุ้นแนะนำวันนี้

  • CK (ปิด 21.3 ซื้อ เป้า IAA Consensus 25.5 บาท) ได้ Sentiment บวกสภาฯเตรียมนำร่าง พ.ร.บ.งบปี63 เข้าประชุมสภาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ตามคำสั่งวินิจฉัยของศาล ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา เลือก CK เป็น Top pick ผลประกอบการผันผวนน้อยสุดของกลุ่ม เพราะมีเงินลงทุนในบริษัทลูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้า ทางด่วน (BEM), น้ำประปา (TTW) และโรงไฟฟ้า (CKP) จึงมีความมั่นคงของผลประกอบการมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่เน้นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพียงอย่างเดียว
  • TU (ปิด 15.3 ซื้อ/เป้า 17.5) ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโรส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจของ TU เพราะมีรายได้หลักมาจากการส่งออกคิดเป็น 75% ของรายได้รวม โดยทุกๆ 1 บาทที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรจะทำให้กำไรของ TU เพิ่มขึ้นประมาณ 600 -700 ล้านบาท

บทวิเคราะห์วันนี้

EPG (ปิด 5.6 ซื้อ/เป้า 7.5), SIRI (ปิด 1.01 ซื้อ/เป้าใหม่ 1.23 เดิม 1.76), Property sector (Top pick: AP, LH)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าเริ่มมีข่าวดี จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มลดลง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจีนคาดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่น่าจะสิ้นสุดในเดือน เม.ย.:เมื่อวานนี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในจีน ณ วันที่ 10 ก.พ. เพิ่มขึ้น 2,478 ราย รวมเป็น 42,638 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. นอกจากนี้ นายโซ่ง หนานชาน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาของจีนซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือซาร์ส (SARS) ในปี 2003 ออกมาแสดงความเห็นว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีนจะแตะระดับสูงสุดในเดือนนี้ ก่อนที่จะทรงตัว และเบาบางลงในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า และมีแนวโน้มว่าการแพร่ระบาดดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในช่วงเดือน เม.ย.ปีนี้
  • (-) กลุ่มธนาคาร - ธปท.เตรียมออกประกาศแนวทางการคิดค่าธรรมเนียมของสถาบันการเงินใหม่ทั้งระบบรวมกว่า 300 รายการ คาดเริ่มประกาศใช้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้: โดยเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการออกบังคับเพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดค่าธรรมเนียมอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรม ซึ่งจะครอบคลุมค่าธรรมเนียมทุกประเภท ในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งธุรกิจลูกค้ารายใหญ่ ลูกค้า SME และ ลูกค้ารายย่อย ซึ่งคาดว่าจะมีรายการค่าธรรมเนียมทั้งหมดประมาณ 200-300 รายการ ปัจจัยนี้ถือเป็นข่าวลบและเป็น Over hang ต่อกลุ่มธนาคาร เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมต่างๆคิดเป็น 20-30% ของรายได้รวมหากมีการปรับลดจริงจะทำให้รายได้ของกลุ่มธนาคารลดลงอีก ทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า KBANK มีสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมมากที่สุดตามด้วย BBL, KTB และ SCB
  • (-) ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงสู่โซน ชบเชา (Bearish) เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี มองกลุ่มโรงพยาบาลน่าลงทุนมากที่สุด: สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนประจำเดือน ก.พ. 2020 ลดลงสู่ระดับ 72.75 (ลดลง 9.91%mom) นับเป็นการลดลงสู่โซน ชบเชา (Bearish) เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลกระทบของสงครามการค้าและการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจนักลงทุนคิดว่าน่าลงทุนมากที่สุดในการสำรวจครั้งนี้ คือ กลุ่ม โรงพยาบาล และ กลุ่มที่ไม่น่าลงทุนที่สุดคือกลุ่มท่องเที่ยว