ไวรัสโคโรน่า และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

ไวรัสโคโรน่า และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจโลกด้วย ที่สำคัญในแง่เศรษฐกิจ ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นสูงกว่าโรคระบาดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต

บทความใน 2 สัปดาห์ก่อน ผมเขียนเล่าถึงการบริโภคภายในประเทศที่กำลังเจอกับความท้าทาย

แต่ไม่น่าเชื่อนะครับ ภายในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเจออีก 1 เหตุการณ์ที่กลายเป็นความเสี่ยงภาพใหญ่น่าสนใจว่าจะกระทบกับเศรษฐกิจขนาดไหน นั้นก็คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ซึ่งตัวผมเองคงไม่ขอเล่ารายละเอียด เพราะเราคงหาอ่านกันได้ไม่ยากว่า แพร่ได้อย่างไร ตัวเองผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นขนาดไหนนะครับ

แต่ที่น่าสนใจก็คือ การแพร่ระบาดครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลจีนตัดสินใจประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น และยกเลิกทัวร์จีนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส แอคชั่นครั้งนี้ของรัฐบาลจีนนี่เอง ทำห้นักลงทุนกังวลหนักขึ้นไปอีก แต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จีนต้องเร่งมือ ไม่เข่นนั้นหากการแพร่ระบาดลุกลาม และจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นทวีคูณไปเรื่อยๆ มันหมายถึงชีวิตของประชาชนเลยทีเดียว

เมื่อเทียบกับช่วงที่โรค SARS ระบาดเมื่อปี 2003 และพยายามนำมาเปรียบเทียบกับ Coronavirus ในครั้งนี้ หากไม่ได้ดูที่ความรุนแรงของโรคระบาด ซึ่ง SARS นั้นรุนแรงกว่ามาก ในแง่ของอัตราการเสียชีวิต แต่ในแง่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้น เมื่อผมได้ดูตัวเลขแล้ว ก็พบว่า เจ้าโคโรน่าไวรัสนี้ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลกสูงกว่าโรคระบาดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตทีเดียว

อย่างแรก เมื่อปี 2002-2003 ภาคการบริโภคยังคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 40% ของ GDP ของจีนในภาพรวม แต่ ณ วันนี้ ไม่ใช่ เพราะจีนปรับสมดุลทางเศรษฐกิจจากโตด้วยการส่งออกมาเป็นการบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ภาคการบริโภคภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนสูงมากกว่า 54% ของขนาด GDP จีนในปัจจุบัน  ดังนั้น ความกลัวโรคระบาดที่ทำให้ประชาชนในประเทศจีนเอง ชะลอการจับจ่ายใช้สอย เที่ยวน้อยลง ใช้ชีวิตในบ้าน เน้นความปลอดภัยมากขึ้น ย่อมทำให้การบริโภคชะลอลงแน่ๆในช่วงนี้ คำถามคือ จะกินเวลาอีกนานท่าไหร่?

"โคโรน่าไวรัสมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลก สูงกว่าโรคระบาดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตทีเดียว"

อย่างที่สอง ขนาดเศรษฐกิจจีนในวันนี้ คิดเป็น 18% ของ GDP ทั้งโลก เป็นรองก็แค่สหรัฐฯ ไม่เหมือนในอดีตเมื่อปี 2002-2003 ที่ขนาดของ GDP คิดเป็นสัดส่วนแค่ 4% เท่านั้น ดังนั้น หาก GDP Growth ของจีนหล่นลงแค่เพียงเล็กน้อย ย่อมมีผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ปัจจุบันนี้ สินค้าส่งออกสำคัญของจีน กลับไม่ใช่สินค้าอีกต่อไป แต่คือ “คน” หรือ นักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของภาคการท่องเที่ยวในหลายๆประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากนะครับว่า พอมีเหตุการณ์โรคระบาดเกิดขึ้น กลายเป็นหลายประเทศมีนโยบายไม่รับนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเอาจริงๆก็เข้าใจได้นะครับว่าเพราะกลัวการแพร่กระจายของโคโรน่า แต่ก็หวังลึกๆว่า มันจะไม่ลุกลากจนกลายเป็นการกีดกันทางเชื้อชาติบานปลายเกินไป

อย่างที่สาม ในปี 2018 ประเทศจีนนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่าประเทศอื่นในโลก โดยยักษ์ใหญ่ในเอเชียประเทศนี้ มีการนำเข้าคิดเป็น 2 ใน 3 ของความต้องการน้ำมันใหม่ทั้งหมดทั่วโลก แต่หลังจากการปิดประเทศเพื่อกำจัดโคโรน่าไวรัส มีการคาดการณ์กันว่า ความต้องการจะลดลงเป็นอย่างมากในไตรมาส 1/20 ซึ่งมีผลทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงแรงในปัจจุบัน ตรงนี้ ก็เป็นผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานไปแล้ว ทั้งๆนี้ช่วงต้นเดือนม.ค. นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์กันอยู่เลยว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI อาจจะขึ้นไปได้ถึงระดับ $65-$70 ในครึ่งปีแรก จากเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน

เมื่อคนรู้สึกไม่ปลอดภัย ก็จะชะลอหรือหยุดการใช้จ่ายของตัวเองลง สาเหตุก็เพราะ เราวาดภาพความกลัวในใจของเราไว้แล้ว นี่ละครับ ที่น่ากลัวกว่าโรคระบาด ตอนที่เราวาดภาพเศรษฐกิจในอนาคตไว้ดี แม้แต่เงินในอนาคต เราก็กล้าหยิบออกมาใช้ก่อนตั้งแต่วันนี้ แต่วันที่เราวาดภาพเศรษฐกิจในอนาคตไว้แย่ แม้จะมีเงินเก็บเยอะ เราก็ไม่กล้าหยิบออกมาใช้ซักบาท ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเรา เป็นอย่างนั้น และนั้นก็นำมาซึ่งการที่ กนง. ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงไปเหลือ 1.0% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เรามาดูกันต่อด้วยใจเป็นกลางนะครับ แล้วเราจะเห็นโอกาสที่อยู่ในโรคระบาดครั้งนี้