ปมขัดแย้ง 'เมสซี-อบิดัล' เขย่าบอร์ดบริหาร 'บาร์เซโลนา'

ปมขัดแย้ง 'เมสซี-อบิดัล' เขย่าบอร์ดบริหาร 'บาร์เซโลนา'

“บาร์เซโลนา” สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่แห่งสเปน กำลังเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ เมื่อ “ลิโอเนล เมสซี” กัปตันและแกนหลักของทีม เปิดศึกวิวาทะกับบอร์ดบริหาร ทำให้อนาคตของเมสซีในถิ่นคัมป์นูเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และสะท้อนถึงความขัดแย้งภายในที่ฝังรากลึก

ประเด็นขัดแย้งล่าสุดเกิดขึ้น เมื่อประธานฝ่ายเทคนิคของบาร์เซโลนาคนปัจจุบันคือ “เอริก อบิดัล” ซึ่งเคยเล่นให้บาร์ซาร่วมกับเมสซี ช่วงปี 2007-2013 ออกมาตำหนินักเตะผ่านสื่อเมื่อปลายเดือน ม.ค. ว่า ขุมกำลังชุดปัจจุบันมีคนที่ไม่พอใจที่จะร่วมงานกับ เออร์เนสโต บัลเบร์เด อดีตกุนซือชาวสเปนซึ่งถูกปลดจากตำแหน่งไปเมื่อกลางเดือนที่แล้ว

มิหนำซ้ำ อบิดัลเผยอีกว่า “ยังมีคนที่ไม่ทำงานหนักเท่าที่ควร” แต่ไม่ได้ระบุชื่อว่าดาวเตะรายนั้นเป็นใคร

ความเห็นของอบิดัลสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับเมสซี จนต้องออกมาสวนกลับผ่านสตอรีในอินสตาแกรมส่วนตัวอย่างดุเดือดว่า “ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ได้อยากออกมาทำอะไรแบบนี้เลย แต่ผมคิดว่าเราต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ และต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง”

แข้งซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนตินาร่ายต่อว่า “คนที่เป็นผู้บริหารด้านกีฬาควรจะทำงานตามหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน ที่สำคัญ คือต้องจัดการกับการตัดสินใจของตัวเองด้วย” และปิดท้ายว่า “สุดท้ายนี้ ผมคิดว่าเมื่อคุณพูดเกี่ยวกับนักเตะ คุณควรเอ่ยชื่อให้ชัดเลยว่าหมายถึงถึงใคร มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าคุณทำให้เกิดข้อกังขากับนักเตะทุกคน และทำให้ข่าวลือที่ไม่เป็นจริงแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว”

เมื่อประเด็นขัดแย้งนี้ลุกลาม โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรบาร์เซโลนาจึงไม่อาจอยู่เฉยได้ และจัดการเรียกตัวอบิดัลเข้าพบเป็นการด่วน ท่ามกลางกระแสข่าวหนาหูว่า อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศสสมัยเป็นนักเตะ มีโอกาสสูงที่จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง

158142093590
- โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว (ซ้าย) ประธานสโมสร, กีเก เซเตียน (กลาง) กุนซือคนใหม่ และเอริก อบิดัล (ขวา) ประธานฝ่ายเทคนิค ของทีมบาร์เซโลนา -

แต่หลังจาก บาร์โตเมว กับ ออสการ์ กราอู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) สโมสรได้เรียกอบิดัลมาเคลียร์ใจนานกว่า 2 ชั่วโมง สุดท้ายการหารือก็จบลงด้วยดี หมายความว่า อบิดัลจะยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป

  • รอยร้าวภายใน “ฝังลึก”

การตอบโต้ระหว่างเมสซีกับอบิดัลทำให้เห็นชัดเจนว่า ความขัดแย้งล่าสุดไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะบุคคล และตอกย้ำถึงความไม่ลงรอยที่ร้าวลึกยิ่งขึ้นในถิ่นคัมป์นู

นับตั้งแต่บัลเบร์เดถูกปลดจากตำแหน่งเฮดโค้ช บรรยากาศความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างผู้เล่นกับบอร์ดบริหารของสโมสรก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน และการที่เมสซีออกมาตอบโต้อบิดัลยิ่งทำให้ทุกคนเห็นว่าสถานการณ์นี้เลวร้ายเพียงใด

เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 6 สมัย รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเป้าโจมตีจากคำวิจารณ์ของอบิดัล เพราะเมื่อมีนักเตะถูกโทษว่าไม่ตั้งใจเล่นเพื่อสโมสร เขามักกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่อยู่ในข่ายเสมอ แม้จะเคยออกมาปกป้องตำแหน่งของบัลเบร์เดหลายครั้งก็ตาม

158142094294

นอกจากนี้ ผู้เล่นบาร์ซาส่วนใหญ่ ยกเว้น “เซร์คิโอ บุสเก็ตส์” “อาร์ตูโร วิดัล” และ “อิวาน ราคิติช” ต่างชื่นชอบที่ได้เล่นภายใต้การคุมทีมของบัลเบร์เด ขณะที่ 3 คนนั้นต่างแสดงออกชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนกุนซือ

ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือจากบัลเบร์เดมาเป็น “กีเก เซเตียน” อดีตผู้จัดการทีมเรอัล เบติส กลับยิ่งเพิ่มปัญหาให้กับสโมสร และด้วยความยอมรับในฝีมือของบัลเบร์เด ทำให้นักเตะส่วนใหญ่ในทีมไม่พอใจบอร์ดบริหารเข้าไปอีก

แม้บาร์โตเมวเคลียร์ใจกับอบิดัลไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า ประธานสโมสรไม่พอใจอบิดัลที่ไม่สามารถดึงตำนานของทีมอย่าง “ชาบี เอร์นันเดซ” ให้มาเป็นกุนซือคนใหม่ได้ หลังอบิดัลบินไปโน้มน้าวถึงกาตาร์ที่ชาบีรับหน้าที่ผู้จัดการทีมอัล ซาดด์อยู่ในขณะนี้ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า เซเตียน กุนซือคนปัจจุบันไม่ใช่ “ตัวเลือกแรก”

  • ไม่สนับสนุนซื้อนักเตะเท่าที่ควร

ความล้มเหลวของอบิดัลไม่ได้มีแค่นี้ แต่ยังรวมถึงการปฏิเสธซื้อกองหน้าเพิ่มในช่วงตลาดเดือน ม.ค. เพื่อทดแทนการขาดหายไปของ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงชาวอุรุกวัยที่ได้รับบาดเจ็บหลายเดือน แม้ว่าเป้าหมายอย่าง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ของทีมอาร์เซนอลแบะท่าพร้อมย้ายมาร่วมทัพบาร์ซาอย่างชัดเจนก็ตาม

1 วันก่อนเซเตียนจะมารับหน้าที่กุนซือคนใหม่ สโมสรได้ยืนยันว่า ซัวเรซต้องเข้ารับการผ่าตัดและอาจจะพักนาน 3-4 เดือน และก่อนหน้านั้นทีมเพิ่งขายกองหน้า 2 คนคือ คาร์เลส เปเรซ และอาเบล รุยซ์ เพื่อหาเงินเข้าสโมสรและเพิ่มพื้นที่สำหรับนักเตะใหม่

แต่สุดท้าย ทีมกลับไม่ได้กองหน้าใหม่แม้แต่รายเดียวหลังตลาดซื้อขายปิด อีกทั้งยังต้องเสีย “อุสมาน เดมเบเล” ปีกชาวฝรั่งเศสไปอีกคน หลังบาดเจ็บต้นขาและอาจต้องพักจนจบฤดูกาลนี้

  • อนาคตเมสซีในคัมป์นู

สัญญาของเมสซีที่ทำกับบาร์เซโลนา มีเงื่อนไขที่อนุญาตให้เขาย้ายทีมโดยไม่มีค่าตัวได้เมื่อจบฤดูกาล 2020/21 หรือสิ้นสุดสัญญาปัจจุบันในเดือน มิ.ย. 2021 และอบิดัลเองก็ยอมรับว่า สิ่งที่เขาต้องทำคือการพูดคุยเรื่องสัญญาฉบับใหม่ของเมสซีในเดือน พ.ค.นี้

เมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว แข้งดังวัย 32 ปียอมรับว่า อาจแขวนสตั๊ดกับบาร์ซาในอีกไม่นานนี้ และเคยบอกว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีความรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสโมสรไม่ทะเยอทะยานความสำเร็จเหมือนในอดีต

ในช่วง 5 ปีหลัง เมสซีไม่ได้สัมผัสแชมป์ถ้วยยุโรปเลย และต้องทนเห็นบาร์เซโลนาล้มเหลวในการสร้างทีมโดยมีเขาเป็นศูนย์กลางมาปีแล้วปีเล่า

เมื่อมีนักเตะรุ่นเก่าแขวนสตั๊ด ทีมก็ไม่สามารถหาตัวตายตัวแทนได้ ประกอบกับการขาดทิศทางที่ชัดเจนและความแน่นอนในการบริหาร หลังจากมีการเปลี่ยนตัวประธานฝ่ายเทคนิคมาแล้ว 4 คนและที่ปรึกษาอีกนับไม่ถ้วนในยุคของบาร์โตเมว

ในขณะที่ศักยภาพของทีมถดถอยลงเรื่อย ๆ แม้จะทุ่มเงินซื้อนักเตะไปแล้วกว่า 1,000 ล้านยูโร (ราว 34,150 ล้านบาท) นับตั้งแต่ปล่อย “เนย์มาร์” ตัวรุกชาวบราซิลไปร่วมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง (เปแอสเช) ด้วยค่าตัวสถิติโลก 222 ล้านยูโรในปี 2017

  • แผนสำรองบาร์ซาหากเมสซีไป

สำหรับเป้าหมายต่อไปหากเมสซีตัดสินใจย้ายออกจากถิ่นคัมป์นูคาดกันว่ามี 5 สโมสรด้วยกัน ลา กัซเซ็ตตา สื่อใหญ่ของอิตาลีชี้เป่าไปที่ เปแอสเช, แมนเชสเตอร์ ซิตี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ยูเวนตุส และอินเตอร์ มิลาน แม้ทีมเหล่านี้ไม่ต้องจ่ายค่าตัวของแข้งอาร์เจนตินา แต่อาจต้องยอมควักจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาล

158142094096

สื่อแดนมักกะโรนีคาดการณ์ว่า เมสซีอาจเรียกค่าเหนื่อยระหว่าง 50-85 ล้านยูโรต่อปี ขณะที่เดลีเมล ระบุว่า ทีมเรือใบสีฟ้าของ “เปป กวาร์ดิโอลา” อดีตผู้เล่นและผู้จัดการทีมบาร์เซโลนาที่เคยร่วมงานกับเมสซี เป็นตัวเก็งที่จะได้เป็นสโมสรที่ 2 ในอาชีพค้าแข้งของแข้งรายนี้

อย่างไรก็ตาม กวาร์ดิโอลายอมรับล่าสุดว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก และเขาอยากเห็นเมสซีอยู่กับบาร์ซาไปจนแขวนสตั๊ด

กัซเซ็ตตา รายงานว่า บาร์เซโลนาเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว หากเมสซีเลือกที่จะย้ายทีมจริง ๆ โดยจะคว้าแข้งระดับบิ๊กเนม 2 คนที่อยู่ในเป้าหมายของสโมสรในช่วง 2-3 ปีหลัง ได้แก่ “เลาตาโร มาร์ติเนซ” ของอินเตอร์ มิลาน และ “เนย์มาร์” อดีตนักเตะของทีม เพื่อมาเป็นตัวตายตัวแทนของเมสซีและซัวเรซ

----------------------------------------------------

ที่มา:

AFP

The Guardian

Give Me Sport

AS