'เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง'เร่งระบายสต็อก ชะลอเปิดโครงการใหม่ครึ่งปีแรก

'เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง'เร่งระบายสต็อก ชะลอเปิดโครงการใหม่ครึ่งปีแรก

'เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง'พลิกเกมแก้วิกฤติอารมณ์ซื้อหาย เลื่อนเปิด5โครงการแนวราบมูลค่า3,500ล้านบาทครึ่งหลัง พร้อมเร่งอัดอัดโปรโมชั่นหวังระบายสต็อก ตั้งเป้ายอดขาย2,700ล้านบาท

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้เผชิญปัจจัยลบทั้งในประเทศและภายนอกประเทศจากไวรัสโคโรนา ที่แพร่ระบาดหนักในประเทศจีน และขยายวงกว้างไปอีกหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยที่มีผลกระทบต่อการส่งออกและท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่มีอารมณ์จับจ่ายใช้สอยถึงแม้ว่าจะมีกำลังซื้อ ประเมินจากกำลังซื้อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาอยู่ในภาวะทรงตัว

สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทตัดสินใจเลื่อนที่เปิดโครงการแนวราบจำนวน 5 โครงการ ประกอบด้วย ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝดและบ้านเดี่ยว ระดับราคา2-5ล้านบาทรวมมูลค่า 3,500ล้านบาท ใน3 ทำเล โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ โซนตะวันตกแถวนครปฐม และโซนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) แถบพัทยา ออกไปในช่วงครึ่งปีหลัง หลังสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยลบคลี่คลายทำให้อารมณ์ซื้อของผู้บริโภคกลับมาอีกครั้ง ซึ่งบริษัทมีที่ดินสะสมรอการพัฒนารองรับอยู่แล้ว

นอกจากนี้ในปีนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับ 3 กลยุทธ์หลัก 1.การพัฒนาบ้านที่มีดีไซน์ฟังก์ชั่น ราคาตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่า ให้กับทุกวัยในครอบครัวตั้งแต่เด็กจนผู้สูงวัย 2. แนวคิดที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer centric) ในการพัฒนาสินค้าและบริการแก่ลูกค้า ส่งผลให้ลูกค้า 50% ของบริษัทมาจากการบอกต่อปากต่อปาก (Word of Mouth) และ 3. การพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าร่วมกับพันธมิตรในทุกมิติ ภายใต้ชื่อ NCXT :NC Cross Innovation&Home Technology เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ภายในบ้าน

นายสมนึก ยังกล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก บริษัทจะเร่งระบายสต็อกมูลค่า4,000 -5,000 ล้านบาท จาก9โครงการเก่าที่มีทั้งโครงการแนวราบ7 โครงการและคอนโดมิเนียมจำนวน 2 โครงการในพัทยา และเชียงใหม่ โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญโปรโมชั่นตั้งแต่เดือนก.พ.-มี.ค. ภายใต้แคมเปญ “NC5Gแรง ” เพื่อเร่งกระตุ้นยอดขาย คาดว่า ต่อไตรมาสจะสามารถระบายสต็อกได้ 600-700ล้านบาท และในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดขาย2,700 ล้านบาทและสร้างรายได้ 1,600 ล้านบาท

“ปีนี้ถือเป็นปีทองของผู้บริโภคในการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากผู้ประกอบการต่างเร่งระบายสต็อกที่มีอยู่ออกมาในราคาถูกลงจากปกติเพราะการแข่งขันรุนแรง รวมถึงตลาดแนวราบที่มีคู่แข่งทั้งรายเก่าใหม่เข้ามาในตลาดจำนวนมาก เพราะหนีจากตลาดคอนโดที่ชะลอตัว โดยบ้านระดับราคาตั้งแต่2-5ล้านบาทจะเป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจสูงสุด เพราะเป็นระดับราคาที่ผู้บริโภคยอมรับได้ง่าย” นายสมนึก กล่าว