แกว่งตัว..รอปัจจัยใหม่

แกว่งตัว..รอปัจจัยใหม่

คาดนักลงทุนจะชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามการประกาศงบ 4Q19 และ 2019

ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์

SET Index แกว่งตัวแคบ -0.55 จุด (-0.04%) ปิดที่ 1,535 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.1 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะได้ปัจจัยบวกศาลรธน.มีมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ไม่เป็นโมฆะ แต่ให้โหวตวาระ 2-3 ใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามดัชนีถูกแรงขายกลุ่ม ICT หลัง ADVANC และ INTUCH ประกาศผลการดำเนินงานออกมาน้อยกว่าคาดส่งผลให้ดัชนีอ่อตัวปิดลบเล็กน้อย โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งขายสุทธิ 892 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,280 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX 2,935 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

มุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,525 - 1,545 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุนและคาดว่านักลงทุนจะชะลอการซื้อขายเพื่อติดตามการประกาศงบ 4Q19 และ 2019 ของบริษัทฯ ประกอบกับติดตามการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นสูงกว่า 1 พันราย และจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 หมื่นราย ส่งผลให้มีความกังวลว่าจะกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ประเด็นดังกล่าวยังกดดันให้ราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 50 US/Barrel ซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตามคาดว่าการย่อตัวลงจะไม่รุนแรงมากนักเนื่องจากสถานการณ์ Tradewar ที่ผ่อนคลายลงหลังจีนเตรียมลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์มีผล 14 ก.พ. ซึ่งเป็นบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) ได้อานิสงส์ต้นทุนการเงินลดลงหลังกนง.ลดดอกเบี้ย 0.25%
  • กลุ่มส่งออก Elec (KCE, HANA, DELTA)  Food (CPF, TU) อานิสงส์ทิศทางเงินบาทอ่อนค่า
  • กลุ่มพลังงาน (TOP, PTTGC, SPRC) อานิสงส์ค่าการกลั่นพลิกเป็นบวก

หุ้นแนะนำวันนี้

  • CK (ปิด 20.9 ซื้อ เป้า IAA Consensus 25.5 บาท) ได้ Sentiment บวกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ร่าง พ.ร.บ.งบปี 63 ไม่เป็นโมฆะ ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา เลือก CK เป็น Top pick ผลประกอบการผันผวนน้อยสุดของกลุ่ม เพราะมีเงินลงทุนในบริษัทลูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้า ทางด่วน (BEM), น้ำประปา (TTW) และโรงไฟฟ้า (CKP) จึงมีความมั่นคงของผลประกอบการมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่เน้นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพียงอย่างเดียว
  • TU (ปิด 15.2 ซื้อ/เป้า 17.5) ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์และยูโรส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจของ TU เพราะมีรายได้หลักมาจากการส่งออกคิดเป็น 75% ของรายได้รวม โดยทุกๆ 1 บาทที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรจะทำให้กำไรของ TU เพิ่มขึ้นประมาณ 600 -700 ล้านบาท

บทวิเคราะห์วันนี้

INTUCH (ปิด 54 ซื้อ/เป้าใหม่ 80.5 เดิม 81)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ของสหรัฐพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตอบรับจีนอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อลดผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า: ธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเม็ดเงินรวมกว่า 3 แสนล้านหยวน (4.3 หมื่นล้านดอลลาร์) ให้กับธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจ (policy bank) ให้ปล่อยกู้และนำไปปล่อยกู้ต่อ เพื่อลดผลกระทบให้กับบริษัทต่างๆที่กำลังทยอยกลับมาดำเนินการหลังจากที่หยุดยาวในช่วงตรุษจีน นอกจากนี้จีนยังออกมาตรการผ่อนปรนภาษีให้กับบริษัทต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการควบคุมการแพร่ระบาด มาตรการนี้ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐตอบรับในทางบวกเนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่เข้าไปลงทุนในจีนจำนวนมาก หนุนให้ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 174 จุด ปิดที่ระดับ 29,277 จุด ขณะที่ดัชนีดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 3,352.09 จุด และ 9,628.39 จุด ตามลำดับ
  • (-) ราคาน้ำมันดิบ WTI หลุดระดับ USD50/bbl อีกครั้ง เนื่องจากตลาดผิดหวังรัสเซียแสดงท่าทีคัดค้านการลดกำลังการผลิต 6 แสนบาร์เรลต่อวัน: เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรมีมติเสนอให้โอเปกปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 600,000 บาร์เรล/วัน เพื่อพยุงราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลง (JTC ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่สามารถให้ข้อเสนอแนะแก่โอเปกและชาติพันธมิตรเกี่ยวกับนโยบายการผลิต) อย่างไรก็ตามรัสเซียแสดงท่าทีคัดค้านต่อข้อเสนอนี้ โดยตรงการให้กลุ่ม OPEC+ ขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตตามโควตาเดิมออกไปเท่านั้น (ไม่อยากลดเพิ่ม) ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 75 เซนต์ (-1.5%) ปิดที่ระดับ 49.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
  • (+) กลุ่มรับเหมา และ นิคมฯ - ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ร่าง พ.ร.บ.งบปี 63 ไม่เป็นโมฆะ โดยให้กลับไปพิจารณาวาระ 2 และ 3 ใหม่ แต่คาดใช้เวลาไม่นาน : ล่าสุด นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ได้นัดประชุมสภาฯ นัดพิเศษ วันที่ 13 ก.พ. เวลา 9.30 น. เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 และ 3 อีกครั้ง ตามที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุเอาไว้ หากการประชุมนัดพิเศษไม่แล้วเสร็จภายในวันเดียว สามารถขยายไปจนกว่าการพิจารณาจะแล้วเสร็จและเมื่อสภาฯ ลงมติวาระ 3 เสร็จแล้วจะส่งเรื่องให้วุฒิสภาพิจารณาต่อทันที จากนั้นรัฐบาลจะนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือน ก.พ. ดังนั้นเราเชื่อว่าร่าง พ.ร.บ ปี 63 น่าจะประกาศใช้และเบิกจ่ายได้จริงในเดือน มี.ค.ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่ตลาดเคยกังวล (เม.ย.- พ.ค.) ถือเป็น Sentiment บวกต่อตลาดรวม และหุ้นที่เกี่ยวข้องโดยตรง อาทิ รับเหมาและนิคมฯ Top pick : CK, STEC, SEAFCO และ AMATA