การเคหะฯเล็งออกโซเชียลบอนด์ ให้สินเชื่อคนซื้อบ้านก่อนส่งต่อแบงก์

การเคหะฯเล็งออกโซเชียลบอนด์ ให้สินเชื่อคนซื้อบ้านก่อนส่งต่อแบงก์

การเคหะแห่งชาติ เผยราคาที่อยู่อาศัยแพงสูงกว่ารายได้คนฐานราก ซ้ำแบงก์เข้มฉุดยอดปฏิเสธสินเชื่อสูง 70% เล็งออกโซเชียลบอนด์ 6,900 ล้านบาท นำมาพัฒนาโครงการ-เงินหมุนเวียนเพิ่มยอดผู้มีรายได้น้อยกู้ซื้อบ้านช่วงเศรษฐกิจชะลอ รอกำลังซื้อฟื้นก่อนส่งต่อให้แบงก์ 

นายธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดกลุ่มที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย พบว่า ตลาดของกลุ่มผู้มีรายได้มีปัญหาอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่สอดคล้องกันกับราคาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น ทำให้ในช่วงปีที่ผ่านผู้มีรายได้น้อยยื่นขออนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารพาณิชย์แต่ถูกปฏิเสธสินเชื่อ (Reject)สัดส่วนสูงถึง 70%จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ยอดรีเจ็คท์อยู่ที่ 30-40%โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 7 แสนบาทต่อยูนิต 

เนื่องมาจากผลกระทบมาตรการคุ้มเข้มสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ซึ่งการเคหะฯ ถือเป็นรายใหญ่ที่ทำตลาดในที่อยู่อาศัยเพื่อให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้เข้าถึงที่อยู่อาศัย โดยมีพันธกิจดำเนินงานตามนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ตามกรอบแผนแม่บทการพัฒนาที่มีระยะ 20 ปี (2560-2579) ภายใต้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จึงต้องมีการหามาตรการเสริมเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้เข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

“ธนาคารค่อนข้างเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะตลาดระดับราคา 7 แสนบาท มีการกู้และโดนรีเจ็คสูงถึง 70%ดังนั้นแม้ยอดจองการซื้อจะเข้ามามาก แต่ยอดการขายจริงที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อยังค่อนข้างต่ำ ซึ่งเดิมทีมีเงื่อนไขการขอสินเชื่อที่การเคหะฯ เป็นผู้รับความเสี่ยงกรณีเริ่มค้างค่างวดเกิน 3 เดือน ทางการเคหะฯเป็นผู้รับผิดชอบ แต่เมื่อเงื่อนไขดังกล่าวสิ้นสุดลง จึงส่งผลทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อจากแบงก์สูงขึ้น ขณะเดียวกันสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงกำลังซื้อที่ชะลอตัวก็มีส่วนในการพิจารณาสินเชื่อ”

เขายังกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ทางการเคหะฯ มีแนวทางเพิ่มยอดการเข้าถึงที่อยู่อาศัยกับการเคหะฯ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนจากกลุ่มประชาชนฐานราก จึงยื่นของบประมาณจากภาครัฐมูลค่า 5,207 ล้านบาท เพื่อมาช่วยเป็นเงินทุนหมุนเวียนปล่อยกู้ให้กับกลุ่มผู้ซื้อบ้าน ในช่วงสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ก่อนส่งต่อให้ธนาคารเมื่อผู้กู้มีศักยภาพ โดยทางคณะรัฐมนตรี(ครม. ) ได้จัดสรรงบประมาณ 346 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ถูกรีเจ็คสินเชื่อ

ดังนั้นทางการเคหะฯ ได้หามาตรการเสริมหลากหลายด้านเพื่อส่งเสริมให้ตลาดกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจได้ซื้อที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย การศึกษาการออกพันธบัตรเพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) ตั้งเป้าหมายวงเงินประมาณ 6,900 ล้านบาท คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย และเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนให้สินเชื่อกับประชาชนที่ถูกปฏิเสธิสินเชื่อ โดยที่ผู้กู้นั้นยังถือว่ามีความสามารถในการผ่อนชำระเป็นการแก้ไขปัญหาสินเชื่อชั่วคราว เมื่อผู้กู้มีศักยภาพพร้อมผ่อนชำระจากธนาคารชัดเจนจึงส่งต่อให้กับธนาคารพาณิชย์

โดยเป้าหมายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะในปี 2563 กว่า 20,000 หน่วย(ยูนิต) โดยเป็นโครงการพร้อมโอนประมาณ 6,700 ยูนิต และโครงการเริ่มสร้าง 4,300 ยูนิต เป็นโครงการเช่าประมาณ 10,000 ยูนิต

นอกจากนี้จะมีโครงการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน (Public Private Partnership-PPP) ใน 3 โครงการนำร่องที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ คือโครงการฟื้นฟูชุมชนเมืองดินแดงโครงการหนองหอย เชียงใหม่ และโครงการร่มเกล้า ส่วนใหญ่เป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่ถือว่าเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้าร่วมพัฒนาพื้นที่เป็นทำเลที่มีศักยภาพ

ด้านนายนพดล ว่องเวียงจันทร์ รองผู้ว่าการเคหะแห่งชาติกล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาอาคารเช่า เพื่อช่วยเหลือคนมีรายได้น้อย โดยในช่วงปี 2560-2562 ที่ผ่านมาได้จัดโครงการเช่าไปแล้ว 11,903 ยูนิต โดยในปี 2563 มีโครงการพัฒนาเพิ่มประมาณ 10,000 ยูนิต จากความต้องการที่ลงทะเบียนแล้ว 15,451 ราย ซึ่งจัดทำโปรโมชั่นในราคาเริ่มต้น 999 บาทต่อเดือน ทั้งนี้เป็นการเริ่มต้นให้ผู้มีรายได้เข้าถึงที่อยู่อาศัย และเป็นทางเลือกก่อนพร้อมซื้อในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงการบ้านราคาประหยัดมาตรฐานสูง (Smart Home)โดยออกแบบบ้านพร้อมกับปรับระดับราคาที่ให้คนเข้าถึงได้ โดยเริ่มต้นที่ 350,000 -550,000 บาทต่อยูนิต ในพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 22,28 และ 36 ตารางเมตร (ตร.ม.)

สำหรับโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ที่คาดว่าจะกำหนดวางศิลาฤกษ์ภายใน 6 เมษายน 2563 นี้ หลังจากที่เลื่อนมากว่า 1 ปี เนื่องมาจากมีการปรับการประเมินการรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ 2-4 โดยระยะที่ 2 จำนวน 1,247 หน่วย ประกอบด้วย อาคารA1 สูง 32 ชั้น 1 อาคาร 635 หน่วย รองรับผู้อยู่อาศัยเดิมจากแฟลตที่ 9 - 17 และแฟลตที่ 63 - 64 และอาคารD1 สูง 35 ชั้น 1 อาคาร 612 หน่วย รองรับผู้อยู่อาศัยเดิมจากแฟลตที่ 23 - 32