บ่ายนี้ สธ.สรุปผลตรวจแท็กซี่ 2 ราย รับนักท่องเที่ยวจีนติดเชื้อหรือไม่?

บ่ายนี้ สธ.สรุปผลตรวจแท็กซี่ 2 ราย รับนักท่องเที่ยวจีนติดเชื้อหรือไม่?

ช่วงเช้า31 ม.ค. สธ.รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยโคโรนาในไทยกลับบ้านเพิ่มอีก1 ราย เหลืออยู่อีก 7 ราย ยังคงผู้ป่วยเท่าเดิม 14 ราย เฝ้าระวังผู้สงสัย 212 ราย บ่ายนี้ สรุปผลตรวจแท็กซี่ 2 ราย รับนักท่องเที่ยวจีนติดเชื้อหรือไม่ ยกระดับมาตรการคัดกรองป้องกันโคโรนา

วันนี้ 10.00 น.(31 มกราคม 2563)  ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ประจำวันกรณีโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า ไทยยืนยันพบผู้ป่วยที่พบในประเทศเท่าเดิม 14 ราย เป็นผู้ติดมาจากต่างประเทศทั้งหมด ในจำนวนนี้รักษาหายจนปลอดเชื้ออนุญาตให้กลับบ้านไปก่อนหน้านี้ 6 ราย

ล่าสุดวันที่ 31 มกราคม แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านเพิ่มเติมได้อีก 1 ราย รวมเป็น 7 ราย ที่ไทยรักษาหายจนปลอดเชื้อ เหลือผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล(รพ.)อีก 7 ราย ยังอยู่ในห้องแยกโรค ไม่มีรายใดอาการรุนแรง รอรักษาจนกว่าจะไม่มีเชื้อในตัวจะอนุญาตให้กลับได้

ทั้งนี้ สำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง 30 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 280 ราย คัดกรองจากสนามบิน 37 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 243 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 68 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 212 ราย

โดยในวันที่ 30 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่จำนวน 78 ราย  โดยในจำนวนผู้ที่เข้าเกณฑ์มีคนไทยรวมอยู่ด้วย โดยเป็นคนขับแท็กซี่ 2 ราย ที่สอบประวัติพบว่ามีการรับนักท่องเที่ยวจีน เข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังเมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจหาเชื้อที่ห้องแล็บ 2 แห่ง ซึ่งผลในการตรวจหาเชื้อนั้น จะมีการนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติในช่วงบ่ายวันนี้ (31 มกราคม 2563) ว่ามีการติดเชื้อหรือไม่

สธ.ยกระดับมาตรการคัดกรองไวรัสโคโรนา

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่าตามที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public health Emergency of international Concern) เมื่อคืนนี้ (30 มกราคม 2563) และประเทศไทยนำโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณายกระดับการทำงานให้สอดคล้องกับประกาศขององค์การอนามัยโลก

โดยได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดตั้งแต่สนามบิน เริ่มตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน และไปยังจุดคัดกรองต่างๆ ซึ่งจะมีทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่คัดกรอง เฝ้าระวังดูแล และได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทุกจังหวัด  รวมถึงได้ขอความร่วมมือจากประชาชนให้สวมหน้ากากอนามัย และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตอนนี้ถือว่าสถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน

อย่างไรก็ตาม ฝากประชาชนอย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทางขอให้เช็คก่อนแชร์ งดแชร์ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ และมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

บ่ายเล็งหามาตรการป้องกันการติดเชื้อคนสู่คน

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่าจากการติดตามสถานการณ์ทั่วโลก พบว่าการติดเชื้อภายในประเทศสามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อในประเทศสหรัฐอเมริกา เวียดนาม ญี่ปุ่น เยอรมัน และเกาหลีใต้ที่ไม่ได้เดินทางไปยังประเทศจีน หรือออกนอกประเทศแต่กลับพบการติดเชื้อ เนื่องจากมีการสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อ แสดงให้เห็นว่าเป็นไวรัสที่มีการติดเชื้อจากคนสู่คนได้ แต่ทั้งนี้ ไม่ได้มีการขยายในวงกว้าง เป็นเพียงการติดเชื้อภายในครอบครัวเท่านั้น

ฉะนั้น เรื่องนี้ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจในการวางมาตรการป้องกันของสธ. ซึ่งในช่วงบ่ายจะมีประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ  จะมีการหารือกับทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับมาตรการต่างๆ อาทิ มาตรการทางกำหมาย มาตรการด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และมาตรการด้านการสื่อสารความเสี่ยบง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลก

ตั้งทีมแพทย์ รับมือดูแลนักศึกษาไทยจากเมืองอู่ฮั่น

นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่าในส่วนของกรณีนักศึกษาที่จะเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีนประมาณ 60 กว่าคน ขณะนี้ได้รับการประสานอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งทางกรมการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการเตรียมทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่เพื่อคัดกรอง ดูแลนักศึกษาเหล่านี้ โดยจะดำเนินการตามแนวทางปฎิบัติของสธ. และคัดกรองนักศึกษาเหมือนนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศจีน โดยในทีมแพทย์จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ และด้านอื่นๆ  ซึ่งกรมการแพทย์พร้อมดูแล ควบคุม และเฝ้าระวังติดตามต่อไป

“ในการรักษาโรคไวรัสนั้น สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ เพราะอย่างไวรัสไข้หวัดใหญ่ก็เป็นซ้ำได้อีกแต่จะเป็นซ้ำเมื่อผ่านไป 2-3 ปี ไม่สามารถกลับมาเป็นได้ทันทีหากรักษาหายแล้ว ไวรัสโคโรนายังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน คงต้องติดตามต่ไป ส่วนกรณีที่ประเทศจีนออกมาประกาศว่ามียารักษาไวรัสโคโรนาขณะนี้ได้ตั้งทีม ติดตาม และศึกษาข้อมูลว่ารักษาได้จริงหรือไม่ อย่างไร” นพ.ณรงค์ กล่าว

ย้ำฟ้าทะลายโจร มาตรการเสริมต้านไวรัส

นพ.สรรพงศ์ ฤทธิรักษา รองอธิการบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวว่าสำหรับกรณีฟ้าทะลายโจรนั้น สามารถช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านการอักเสบ และมีฤทธิ์ต้านไวรัส เช่นเดียวกับกระเทียม กะเพรา ตะไคร้   ได้ และต่อให้ทีมนักวิจัยจากจีนได้มีการศึกษา พบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถใช้รักษาผู้ป่วยโรคSARS ได้ แต่รหัสพันธุ์กรรมของโรคSARS กับ โรคไวรัสโคโรนา นั้นแตกต่างกัน อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาวิจัย ฉะนั้น การใช้สมุนไพรดังกล่าวถือเป็นมาตรการเสริมที่จะเข้ามาช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน แต่การป้องกันที่ดีที่สุด คือการดูแลตัวเอง