นิสสันยก “อัลเมร่า” ต้นแบบโครงสร้างราคาใหม่ 

นิสสันยก “อัลเมร่า” ต้นแบบโครงสร้างราคาใหม่ 

ปี 2562 ที่ผ่านมา นิสสัน มียอดขายรวม 6.44 หมื่นคัน ลดลง 11% จากปีก่อนหน้าและมีส่วนแบ่งการตลาด 6.4% จากการรายงานตลาดรถยนต์โดยรวมของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่เผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน 

อย่างไรก็ตาม แผนธุรกิจของนิสสันนั้นจะใช้ปีงบประมาณเป็นหลัก โดยจะสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. นี้ ซึ่งราเมช นาราสิมัน ประธาน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เชื่อว่าแม้จะคาดการณ์ว่ายอดขายจะติดลบในปีงบประมาณ 2562  และต่ำกว่าเป้าหมายเช่นเดียวกับตลาดรถยนต์โดยรวม แต่มั่นใจว่าจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากวันนี้ เพราะรถยนต์ที่สร้างยอดขายหลักรุ่นหนึ่งของนิสสัน คือ “อัลเมร่า” ใหม่ ที่เปิดตัวไปช่วงปลายปีที่ผ่านมา เริ่มมียอดจองเข้ามาอย่างชัดเจน โดยล่าสุดมียอดรวมประมาณ 5,000 คัน และเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา รวม 600 คัน

นิสสัน อัลเมร่า เป็น อีโค คาร์ เฟส 2 และมีจุดขายหลักคือ มีการนำเสนอเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ อุปกรณ์มาตรฐาน และมีระดับราคาที่เหมาะสม ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

ทั้งนี้เรื่องของระดับราคา ไม่ใช่เฉพาะ อัลเมร่า เท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในแผนงานธุรกิจของนิสสัน หลังจากนี้

ราเมช กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดนิสสันในไทย ไม่ใหญ่นัก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทกำลังพยายามปรับแผนธุรกิจเพื่อผลักดันตลาด และมั่นใจว่าปีงบประมาณ 2563 ส่วนแบ่งการตลาดของนิสสันจะเพิ่มขึ้น

“ส่วนยอดจำหน่ายอาจจะไม่เพิ่มขึ้น หรือลดลง เนื่องจากภาพรวมตลาดรถยนต์อยู่ในช่วงติดลบ โดยคาดว่าปีนี้จะมียอดรวม 9.3-9.5 แสนคัน แต่อย่างน้อย เรามั่นใจว่าส่วนแบ่งตลาดจะเพิ่มขึ้น”

สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์ ก่อนหน้านี้โตโยต้าประเมินว่าจะอยู่ในระดับ 9.4 แสนคัน ลดลง 6.7% จากปีทีแล้วที่มียอด 1.07 ล้านคัน

สำหรับแผนงานของนิสสันที่วางไว้ กำหนดเป็นแผนระยะยาว ทั้งการสร้างแบรนด์ การเพิ่มการรับรู้ในตัวสินค้า การพัฒนาและยกระดับเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย และแน่นอนคือ เรื่องของโครงสร้างราคาจำหน่าย

“เราวางเรื่องโพสิชั่นด้านราคาให้ชัดเจน เริ่มต้นที่ อัลเมร่า ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี แม้ว่าตลาดรถยนต์หรือเศรษฐกิจจะไม่ดีนักก็ตาม และหลังจากนี้รถรุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวตามมา ก็จะใช้แนวทางนี้ เช่นกัน”

ทั้งนี้นิสสัน อัลเมร่า ที่จำหน่ายในปัจจุบัน มี 4 รุ่นย่อย ราคา 4.99-6.39 แสนบาท

การที่นิสสันกำหนดเรื่องการกำหนดระดับราคาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักเพราะต้องการสร้างมาตรฐานด้านราคาที่ชัดเจน สื่อสารกับลูกค้ที่ชัดเจน และป้องกันปัญหาการปรับลดราคาในอนาคต ซึ่งจะเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนัก และทำให้ลูกค้าเดิมรู้สึกไม่ดี

รวมถึงไม่ต้องการที่จะใช้แคมเปญแรงๆ เป็นตัวแก้ไขหากราคาไม่ถูกใจผู้บริโภค แต่จะใช้แคมเปญเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์เท่านั้น ซึ่งแนวทางนี้เชื่อว่าระยะยาวจะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์แข็งแกร่งขึ้น และง่ายต่อการทำตลาดของทั้งบริษัทและตัวแทนจำหน่าย

ในด้านตัวสินค้า จากนี้ไปก็จะต้องพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ารถยนต์บางรุ่นยังทำได้ไม่ดีนัก เช่น เทอร์ร่า รถพีพีวี ที่แม้จะมีสมรรถนะของเครื่องยนต์ทีดี การขับขี่ดี และรูปลักษณ์ไม่ตรงกับแนวทางที่ลูกค้าชอบนัก ที่ผ่านมาบริษัทก็ปรับเปลี่ยนเพิ่มชุดแพคเกจใหม่เข้าไป ทำไห้ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น

ส่วนรุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวตามมาอีกหลายรุ่นในปีนี้ รวมถึงรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี อี-เพาเวอร์ ที่เตรียมเปิดตัวเร็วๆนี้ เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างแน่นอน

สำหรับ อี-เพาเวอร์ เป็นเทคโนโลยีที่นิสสัน ติดตั้งในรถยนต์หลายรุ่นที่ทำตลาดในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรถซิตี้คาร์รุ่น โน๊ต หรือ เอ็มพีวี เซเรน่า มีหลักการทำงานคือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนรถยนต์ 100% โดยรับพลังงานมาจากแบตเตอรี และติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดเล็กเอาไว้ เพื่อทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บในแบตเตอรีเท่านัน ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนโดยตรง ด้วยวิธีการนี้นิสสันระบุว่าเครื่องยนต์ทำงานไม่หนัก ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองต่ำ เมื่อทำงานร่วมกันทำให้ได้จุดเด่นจากมอเตอร์ไฟฟ้า คือ อัตราเร่งที่ดี เงียบ และสามารถเดินทางได้ไกล เพราะมีเครื่องยนต์คอยผลิตไฟฟ้าให้ 

“รถของเรามีจุดแข็งที่ชุดเจนอยู่แล้ว และที่ผ่านมา เราก็ดูว่านิสสันมีจุดอ่อนอะไรบ้าง ซึ่งก็รู้แล้วในขณะนี้ และจะต้องทำ แน่นอนอาจจะต้องใช้เวลา แต่ก็เชื่อมั่นว่าตลาดนิสสันจะดีขึ้นอย่างแน่นอน” ราเมช กล่าว