'ดับบลิวเอชเอ' คาดปี 63 โต 15% โคโรน่าไม่กระทบทุนจีนลงทุนนิคมฯ

'ดับบลิวเอชเอ' คาดปี 63 โต 15% โคโรน่าไม่กระทบทุนจีนลงทุนนิคมฯ

“ดับบลิวเอชเอ” ออกมาชี้แจงทิศทางธุรกิจ 2563 รวมทั้งประเมินสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ซึ่งจีนจะควบคุมได้แบบโรคซาร์ส ทำให้มั่นใจว่านักลงทุนจีนยังเป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ในนิคมอุตสาหกรรม และรายได้ปีนี้จะขยายตัว 15%

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2563 ตั้งเป้าหมายตั้งเป้ารายได้และส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้และส่วนแบ่งกำไร 1.35 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 22% เมื่อเทียบกับปี 2561

ส่วนสาเหตุที่เป้าหมายการเติบโตในปี 2563 ขยายตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา เพราะตั้งแต่เดือน ม.ค.2563 มีปัจจัยลบเข้ามามาก เช่น ความขัดแย้งในต่างประเทศ และล่าสุดปัญหาการระบาดของโรคหวัดไวรัสโคโรนา จึงตั้งเป้าหมายลดลง แต่ยังเป็นอัตราการขยายตัวที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์โรคระบาดและความขัดแย้งในต่างประเทศคลี่คลายมั่นใจว่าจะขยายตัวมากกว่านี้

การระบาดของไข้หวัดโคโรนาไม่ร้ายแรงจนควบคุมไม่ได้ โดยเปรียบเทียบกับการระบาดของโรคซาร์สที่แพร่ระบาดจากจีนเมื่อ 17 ปีก่อน มีผู้ติดเชื้อ 8,000 คน มีผู้เสียชีวิตเกือบ 800 คน หรือมีอัตราการเสียชีวิตเกือบ 10% ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนลดลงจาก 11% เหลือ 7.1% ทำให้การท่องเที่ยวไทยหายไป 7% แต่จีนใช้เวลาไม่กี่เดือนจัดการโรคซาร์สได้ ทำให้ภายใน 2 เดือนการท่องเที่ยวไทยกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว และเศรษฐกิจดีดกลับมาเติบโตเร็วมาก 

ในขณะที่เชื้อโคโรนาล่าสุดมีผู้ติดเชื้อ 5.3 พันคน มีผู้เสียชีวิต 131 คน มีสัดส่วนการเสียชีวิตไม่ถึง 3% ถือว่ามีสัดส่วนต่ำกว่าโรคซาร์สอยู่พอสมควร จึงมองว่ารัฐบาลจีนน่าจะรับมือในเรื่องนี้ได้ และหลังจากสถานการณ์คลี่คลายจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีดกลับมาได้ ซึ่งดับบลิวเอชเอขอดูสถานการณ์อีก 2-3 เดือนก่อน จึงจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

“ผลกระทบจากโรคหลัดไวรัสโคโรนาไม่กระทบต่อยอดนักลงทุนจากจีนปีนี้ แต่ในช่วงต้นปีนักลงทุนจากจีนจะเข้ามาไทยน้อยลงเพราะออกนอกประเทศไม่ได้ แต่หลังสถานการณ์คลี่คลายก็จะกลับเข้ามาลงทุนในไทยเช่นเดิม โดยปี 2562 นักลงทุนเข้ามาในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ มากที่สุดมีสัดส่วนถึง 60% และในปี 2563 มั่นใจว่านักลงทุนจีนยังเป็นอันดับ 1 และมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60% เช่นกัน”

158030561695

สำหรับงบลงทุนของดับบลิวเอชเอในปี 2563–2567 อยู่ที่ 52,000 ล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 54,000 ล้านบาท เพราะสถานการณ์โลกไม่แน่นอน แต่ถ้าทุกอย่างคลี่คลายก็ปรับเป้าลงทุนเพิ่มขึ้นได้ โดยเม็ดเงินลงทุนจะอยู่ใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 

1.โลจิสติกส์ จะลงทุนขยายคลังสินค้าเพิ่มอีก 2.5 แสนตารางเมตร และซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น 2.นิคมอุตสาหกรรม จะซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น และการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมที่เวียดนาม 3.สาธารณูปโภค จะลงทุนทั้งโครงการผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในไทย และเวียดนาม และลงทุนในธุรกิจน้ำประปาในเวียดนามเพิ่ม 

ส่วนธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มในปีที่ผ่านมาได้ลงทุนไปมากแล้วและในปีนี้จะเริ่มเก็บเกี่ยว ซึ่งหากเปรียบเทียบสัดส่วนการลงทุนระหว่างไทยกับเวียดนาม ดับบลิวเอชเอ ยังคงลงทุนในไทยเป็นหลักมีสัดส่วน 70% ที่เหลืออีก 30% เป็นการลงทุนในเวียดนาม

นอกจากนี้ ในปี 2563 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์ไว้ 5 ข้อ โดยมุ่งสู่ความเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจหลักของบริษัท ขยายธุรกิจในต่างประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้น สร้างพอร์ทโฟลิโอของบริษัทให้เติบโตมากขึ้นด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับลูกค้า ผสานกำลังธุรกิจทุกภาคส่วนของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ให้มากยิ่งขึ้น และเดินหน้าทรานส์ฟอร์มสู่องค์กรดิจิทัล

ธุรกิจโลจิสติกส์ จะผนึกกำลังกับพันธมิตรในระยะยาว โดยเฉพาะในด้านอีคอมเมิร์ซจะสร้างคลังสินค้าอัจฉริยะ และมีโครงการใหม่ ๆ ที่เตรียมเปิดตัว รวมถึงโครงการอีคอมเมิร์ซและการเช่าใหม่ในปี 2563 ตั้งเป้ายอดเช่าอาคารไว้ที่ 2.5 แสนตารางเมตร ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 2.56 ล้านตารางเมตร และยังมองหาโอกาสการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในเวียดนามด้วย

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2563 ได้ตั้งเป้ายอดขายที่ดิน 1,400 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 1,200 ไร่ ที่เวียดนาม 200 ไร่ รวมทั้งจะสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 11 ของกลุ่ม ที่ จ.ระยอง ในช่วงปลายปี 2563 และขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 และพัฒนานิคมอุตสาหกรรมใหม่อีก 3 แห่งภายในปี 2566 รวมทั้งจะเร่งนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้กับทุกบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า

ส่วนในเวียดนาม ได้รับการจัดสรรพื้นที่พัฒนานิคมอุตสาหกรรม 20,000 ไร่ ในเฟสแรก 3 พันไร่ ได้พัฒนาพื้นที่ไปแล้ว 1,000 ไร่ ในปีนี้จะพัฒนาอีก 2,000 ไร่ และจะพยายามเร่งยอดขายเพื่อดึงดูดนักลงทุนมายังเขตประกอบการอุตสาหกรรม ซึ่งมีผู้เข้ามาจองพื้นที่แล้ว 125 ไร่

ธุรกิจสาธารณูปโภค จะขยายธุรกิจ จะขยายการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้านอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในไทยและเวียดนาม และจะให้บริการโซลูชันทรัพยากรน้ำหลากหลายรูปแบบ ทั้งการบำบัดน้ำเสียและปรับปรุงคุณภาพน้ำ การผลิตน้ำที่ปราศจากแร่ธาตุ และการนำน้ำทะเลมาผลิตเป็นน้ำจืด 

ด้านพลังงานจะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน และอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา รวมถึงดำเนินการด้านเทคโนโลยีใหม่ เช่น สมาร์ทไมโครกริด การกักเก็บพลังงาน

ธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม ในช่วงปลายปี 2563 จะมีการติดตั้งไฟเบอร์ออฟติกครอบคลุมพื้นที่บางส่วนในนิคมอุตสาหกรรม 9 แห่งจากทั้งหมด 10 แห่งในประเทศไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมต่อด้านดิจิทัลภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ยิ่งไปกว่านั้น อาศัยจากฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม จะส่งผลดีกับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย