'บลจ.ทาลิส' ตั้งเป้า 'เอยูเอ็ม' ปีนี้แตะ 2 หมื่นล้าน

'บลจ.ทาลิส' ตั้งเป้า 'เอยูเอ็ม' ปีนี้แตะ 2 หมื่นล้าน

“บลจ.ทาลิส” ตั้งเป้าปี 63 สินทรัพย์ภายใต้บริหารโตกว่า 50% แตะ 2 หมื่นล้านบาท  คาดนักลงทุนโยกเงิน สับเปลี่ยนกองทุนแอลทีเอฟ  หวังเม็ดเงินไหลเข้าระดับพันล้านบาทในปีนี้ พร้อมลุยออกกองทุนเอสเอสเอฟ 2-3 กองทุน มองดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,500-1,750จุด

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) ปี 2563 แตะ 20,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 50% จากปี 2562 ที่มี AUM 13,076 ล้านบาท เติบโต 131% จาก 5,664ล้านบาทในปี2561

การเติบโตมาจาก ทั้งกองทุนส่วนบุคคล ที่เน้นลงทุนหุ้นไทยเป็นหลัก และกองทุนรวม โดยมีแผนเปิดรับการสับเปลี่ยนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สำหรับผู้ที่ต้องการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกองทุน LTF จำนวน 2 กองทุน  คือกองทุนเปิดทาลิส หุ้นระยะยาว (TLLTFEQ) และกองทุนเปิดทาลิส DIVIDEND STOCK หุ้นระยะยาวปันผล (TLDIVLTF-D) ผลตอบแทนเฉลี่ยปีก่อนที่ 5% บริษัทคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงิน LTF เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน 201 ล้านบาท และภาพรวมกองทุน LTF มีประมาณ 406,215 ล้านบาท

"นักลงทุนไม่ค่อยรู้ว่า สามารถสับเปลี่ยนนโยบายหรือโอนย้ายกองทุนแอลทีเอฟข้ามบลจ.ได้  แต่บางแห่งอาจะมีค่าฟี แต่บางแห่งก็ไม่มี หากเลือกบลจ.ที่มีนโยบายบริการจัดการดี  จะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีกว่า เชื่อว่านักลงทุน LTF จะกลับมาทบทวนเลือกบลจ.ที่จะลงทุน แล้วจะมีการโอนย้ายเม็ดเงินบางส่วนมาหาเรา   ส่วนกองทุนเพื่อการออมระยะยาว หรือ SSF สนใจออก 2-3 กองทุน  แต่ไม่รีบร้อนออก รอดูผลตอบรับของกองทุนดังกล่าวก่อน" 

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส เปิดเผยว่า มุมมองการลงทุนในปี 2563 ช่วงแรกได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา โดยคาดว่า 3-6 เดือนข้างหน้า จะกระทบทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนหายไปประมาณ 50%  หรือนักท่องเที่ยวหายไป 500,000 คนต่อเดือน คิดเป็นเม็ดเงินที่หายไป 150,000 ล้านบาท กระทบผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประมาณ 1% จึงคาดว่าจีดีพีจะโตเพียง 1.9%  อย่างไรก็ตามมีความหวังว่า จะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ และครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัว 

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทย คาดว่ามีโอกาสปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้  คาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบวันที่ 5ก.พ.นี้  จะลดดอกเบี่้ย 0.25% เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น70-80จุด แต่ประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลดลง4% จะหักล้างผลบวกจากอัตราเบี้ย  ในส่วนเงินบาทมองว่ายังมีทิศทางอ่อนค่าในครึ่งปีแรก มองกรอบเงินบาทเคลื่อนไหว 29.00-32.00บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะแกว่งตัวในช่วง 1,500-1,750 จุด  P/E 15-17.5 เท่า การเติบโตของ EPS ประมาณ 10%  ธุรกิจที่มีความน่าสนใจลงทุนในปี 2563-2564 จะเป็นกลุ่มที่กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง คือ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มเงินทุนฯ และกลุ่มขนส่ง-ทางอากาศ

อย่างไรก็ตาม พัฒนาการของสงครามการค้า ความกังวลเกี่ยวกับสงครามและก่อการร้าย รวมถึงการแพร่กระจายของโรคไวรัสโคโรนา รวมทั้งผลกระทบจากปัจจัยภัยแล้ง และการใช้จ่ายงบประมาณปี2563 ที่ล่าช้าก็ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยในครึ่งแรกของปี2563