นักเศรษฐศาสตร์แนะอาเซียนพึ่งตนเองหนุนศก.โต

นักเศรษฐศาสตร์แนะอาเซียนพึ่งตนเองหนุนศก.โต

นักเศรษฐศาสตร์แนะชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)โดยเฉพาะเวียดนามว่าให้พึ่งพาเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของตนเอง โดยเฉพาะการกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ ท่ามกลางภาวะไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก

รายงานเศรษฐกิจของธนาคารเอชเอสบีซี เมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า ภูมิภาคอาเซียนถือว่าได้เปรียบภูมิภาคอื่นที่มีการลงทุนใหม่ๆในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นตามแผนที่รัฐบาลแต่ละประเทศกำหนดไว้ ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้ดีขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกอาจชลอตัวลง จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนและกลุ่มประเทศในยุโรป(อียู)ที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ทางการเมือง

ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก จึงเป็นภูมิภาคที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย และด้วยความที่มีประชากรรวมกันจำนวนกว่า 642 ล้านคน มีพื้นที่กว่า 1.7 ล้านตารางกิโลเมตร อาเซียนจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมาก เป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และเป็นภูมิภาคที่สดใสที่สุดของระบบเศรษฐกิจโลก

ปัจจุบัน ชาติสมาชิกของอาเซียนเร่งกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมรุ่นที่4 ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเป็นเครื่องมือ อาทิเช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)และใช้หุ่นยนต์รุ่นล่าสุด แต่การกีดกันทางการค้าที่นับวันจะรุนแรงเพิ่มขึ้น ประกอบกับกรณีพิพาททางการค้าของคู่ค้าต่างๆในหลายภูมิภาคของโลก เป็นความท้าทายที่สำคัญและเป็นอุปสรรคที่ฉุดรั้งการขยายตัวของการค้าและเศรษฐกิจโลก

เพื่อให้ชาติสมาชิกในอาเซียน สามารถฝ่าอุปสรรคต่างๆหรือหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก นักเศรษฐศาสตร์แนะว่าอาเซียนทุกประเทศควรเป็นหนึ่งเดียว สมัครสมานสามัคคีกัน และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เร่งตอบสนองความท้าทายต่างๆที่เกิดขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาด้านนวัตกรรม และลงทุนใหม่ๆเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปอย่างไม่ขาดตอน

‘ทิม อีแวนส์’ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)เอชเอสบีซี เวียดนาม มีความมั่นใจว่า ภูมิภาคอาเซียนจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาแต่ยังต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคชลอตัวลง และหัวใจสำคัญอยู่ที่ว่า บรรดาผู้กำหนดนโยบายจะเดินหน้าสร้างความเชื่อมโยงทางการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจภายในกลุ่มให้แข็งแกร่งได้อย่างไร

ทีมวิจัยเศรษฐกิจของเอชเอสบีซี เวียดนาม มั่นใจว่าเศรษฐกิจของอาเซียนจะสนับสนุนให้จีดีพีโลกขยายตัวมากถึง 8% หากทุกชาติสมาชิกในอาเซียนดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ทีมงานวิจัยของธนาคารเอชเอสบีซี ยังมีความเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญมากที่ชาติสมาชิกอาเซียนต้องจำกัดข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีให้หมดไป และเร่งมือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สำเร็ฐลุล่วงในทุกด้าน

รายงานวิจัยของคณะเศรษฐศาสตร์ธนาคารเอชเอสบีซี เห็นว่า ขณะที่ชาติสมาชิกอาเซียน ยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกัน แต่กลับมีข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรเกิดขึ้นในภูมิภาคจำนวนกว่า 6,000 ข้อกีดกัน

‘ภูมิภาคอาเซียน ประสบความสำเร็จในการยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกันแต่เรายังเห็นข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่รูปแบบของภาษีเต็มไปหมดระหว่างชาติสมาชิกในอาเซียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถของภูมิภาคในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ’อีแวนส์ กล่าว