'3 กูรู' กับ 5 สินทรัพย์น่าลงทุน ครึ่งแรกปี 63

'3 กูรู' กับ 5 สินทรัพย์น่าลงทุน ครึ่งแรกปี 63

ลงทุนในช่วงสถานการณ์ผันผวน ไม่แน่ไม่นอน นักลงทุนควรจัดพอร์ตอย่างไรดี ? กรุงเทพธุรกิจ ชวนเปิดมุมมอง "สินทรัพย์น่าลงทุน" ครึ่งแรกปี 2563 จาก 3 กูรู 3 สไตล์การลงทุน เพื่อเตรียมพร้อมปรับพอร์ตรับโอกาสใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

นับตั้งแต่เข้าสู่ศักราชใหม่ 2563 ช่วงเวลาผ่านมามีเหตุการณ์สำคัญเข้ามามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน สงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศอย่างค่าเงินบาท สถานการณ์ PM2.5 ฯลฯ

ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อมีส่วนสำคัญในการวางแผนการลงทุนที่ต้องระมัดระวังมากขึ้น ติดตามข่าวสารใกล้ชิด และพัฒนาความเข้าใจด้านการลงทุนไปในเวลาเดียวกัน

“กรุงเทพธุรกิจ” รวบรวมความเห็นจาก 3 กูรู พร้อมจัดอันดับ 5 สินทรัพย์น่าลงทุนในครึ่งปีแรก 2563 นี้เพื่อปรับพอร์ตรับโอกาสใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ทั้งกูรูการเงินส่วนบุคคลอย่าง จักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ "โค้ชหนุ่ม" ที่รู้จักกันในนาม "เดอะ มันนี่โค้ช" (The Money Coach), ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงิน วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFP อุปนายก สมาคมนักวางแผนการเงินไทย และนักวิเคราะห์การลงทุน พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตรชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)

158014116177

  • จักรพงษ์ เมษพันธุ์ "The Money Coach"

158018284078

1. ลงทุน "ความรู้" ด้านการลงทุน​​

การลงทุนที่น่าสนใจ และดีที่สุดในศักราชนี้ ในสายตาของ "โค้ชหนุ่ม" จักรพงษ์ คือ การมองตัวเองเป็นสินทรัพย์ พร้อมลงทุนในตัวเอง โดยเฉพาะความรู้ด้านการลงทุน เนื่องจากมองว่าในโลกยุคใหม่การลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จเป็นเรื่องยาก ต้องเป็นลักษณะการลงทุนแบบผสมผสาน ปรับเปลี่ยนได้ให้เข้ากับสถานการณ์ เพราะฉะนั้นการลงทุนความรู้เรื่องการเงินในตัวเองจึงเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุด ผู้ลงทุนในยุคใหม่คนจะต้องเร็ว ปรับเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการลงทุนอยู่เสมอ เพราะในอนาคตอาจมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่ดีกว่าสินทรัพย์ที่ทุกคนยึดติดอยู่ในตอนนี้ก็ได้

2. ลงทุน "ความเชี่ยวชาญ" ของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์

อีกหนึ่งการลงทุนที่ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนในความเชี่ยวชาญของตัวเอง และหาทางแปลงความเชี่ยวชาญนั้นเป็น Asset (สินทรัพย์) หรือที่เรียกว่า Info Asset นั่นหมายถึง การพัฒนาความเชี่ยวชาญ ความรู้ใดๆ ก็ตามเพื่อสร้างเป็นกระแสเงินที่เข้ามาสร้างการเติบโตทางการเงินได้ เช่น นำองค์ความรู้มาทำเป็น youtube นำเสนอความรู้นั้นๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่น จนกลายเป็นกระแสเงินสดที่ต่อเนื่อง เพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง เพราะการลงทุนนับจากนี้จะไม่ใช่แค่การนำเงินไปวางเพื่อให้งอกเงยเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

3. ลงทุนใน "หุ้น" โดยเน้นต่างประเทศมากขึ้น

แม้การลงทุนในหุ้นจะมีความเสี่ยง และมีหลายปัจจัยเข้ามากระทบ แต่โอกาสในการสร้างผลตอบแทนยังคงมีอยู่ ในปีนี้ โค้ชหนุ่ม แนะนำ ให้มองการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากส่วนตัวมองว่า การลงทุนในต่างประเทศเพราะยังมีโอกาสอีกเยอะมากในปีนี้

และธรรมชาติของตลาดหุ้นไทยกับต่างประเทศมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ได้ หากมีการศึกษาการลงทุนเหล่านี้อย่างเข้าใจก่อน ทั้งนี้ หุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจในช่วงครึ่งปีแรกนี้คือกลุ่ม Innovative เทคโนโลยี ซึ่งเติบโตตามเทรนด์เทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้

4. ลงทุนใน "อสังหาริมทรัพย์" ทั้งทางตรงและทางอ้อม

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ยังเป็นอีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ หากมีความเข้าใจในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามารถลงทุนได้ทั้งแบบโดยตรง เนื่องจากมีโอกาสทำกำไรมากกว่า แต่ผู้ลงทุนต้องศึกษาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามากระทบเช่นนโยบาย LTV ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่หากลงทุนทางตรงไม่เป็นหรือไม่เชี่ยวชาญ ลองมองการลงทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกอง REIT (Real Estate Investment Trust) แทน เนื่องจากหากมองย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของ กอง REIT มีผลตอบแทนสูงกว่าเยอะมากเมื่อเทียบกองทุนด้วยกัน อย่างไรก็ดีต้องศึกษาอย่ารอบคอบมากกว่าแค่มองว่าราคาถูกเท่านั้น

5. ลงทุนใน "สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ" เช่น กองทุนตราสารหนี้ พันธบัตร หรือทองคำ

นอกจากการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นแล้ว ในปีนี้นักลงทุนควรมองหากลุ่มสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่าง พันธบัตร ตราสารหนี้ ทองคำ เพื่อกันสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งมีส่วนช่วยลงทุนได้ โดยเฉพาะช่วงที่สินทรัพย์เสี่ยงมีความผันผวนสูงการถือสัดส่วนสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำไว้จะช่วยให้มีความมั่นใจ สามารถเฝ้าดูเหตุการณ์ ระมัดระวัง และรอจังหวะการลงทุนที่ดีกว่า 

“ครึ่งปีนี้แรกนี้ ธีมการลงทุนคือลงทุนอย่างระมัดระวัง รักษาความมั่นคง และเลือกลงทุนตามความเชี่ยวชาญของตัวเองจริงๆ ไม่ตามกระแส” จักรพงษ์ กล่าว

  • วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFP อุปนายก สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

158018284091

1. ลงทุนใน "ทองคำ"

ทองคำเป็นตัวที่ช่วยกระจายพอร์ตการลงทุนได้ดี ช่วยกระจายความเสี่ยง เนื่องจากทิศทางที่ทองขยับจะไม่เหมือนหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนอื่น และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่คาดหวังประมาณ 10% อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ (หลังเดือนมกราคม) เนื่องจากขยับขึ้นมามากแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าอาจไปได้ถึง 1,600

2. ลงทุนใน "หุ้นไทยและต่างประเทศ"

วิวรรณ มองว่า หุ้น ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในอัตราที่น่าสนใจเมื่อเทียบความเสี่ยง เพราะผลตอบแทนจากหุ้นสูงกว่าผลตอบแทนจากตราสารหนี้ และพันธบัตร สำหรับการลงทุนหุ้นในปีนี้ มองว่า หุ้นต่างประเทศจะขยับขึ้นได้น้อยกว่าหุ้นไทยเล็กน้อย เนื่องจากเพิ่มขึ้นไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ คาดว่าหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันคือ 8-10%

โดยการลงทุนในช่วงครึ่งแรกอยากให้เลือกเป็น Sector ไม่แนะนำการลงทุนเหวี่ยงเป็นดัชนี โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจในตลาดต่างประเทศ คือ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ส่วนหุ้นไทยที่น่าสนใจคือหุ้นกลุ่มอาหาร อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มบริการ รวมถึงหุ้นอื่นๆ ที่มีการขยายกิจการไปยังตลาดภูมิภาคและตลาดโลก

3. ลงทุนใน "อสังหาฯ เน้นลงทุนทางอ้อม"

อสังหาริมทรัพย์ยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจอยู่ โดยการลงทุนอสังหาริมทรัพย์แบ่งเป็น 2 ส่วน คือการลงทุนโดยตรงที่จะได้กำไรจากส่วนต่างราคา ซึ่งปีนี้ไม่แนะนำให้ซื้อเพื่อเก็งกำไร เนื่องจากราคาขึ้นมาในระดับที่สูงแล้ว และมี over supply หรือสต๊อกเหลือค้างอยู่ เว้นแต่ว่าสามารถซื้อในราคาที่ต่ำมาก

อีกส่วนหนึ่งคือการลงทุนอสังหาฯ
​ ผ่านกองทุนรวมอสังหาฯ โดย วิวรรณ มองว่าตัวกองทุนอสังหาฯ ในปีนี้ยังคงมีความผันผวน ราคาจะขยับขึ้นไปมากแล้ว หรือมีโอกาสตกลง

อย่างไรก็ตามหากถือ กองทุน รวมอสังหาฯ ในระยะยาวในปีนี้คาดว่าจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากค่าเช่า หรือผลตอบแทนอื่นๆ ราว 4-4.5%  อย่างไรก็ดี การลงทุนในอสังหาฯ ต้องระมัดระวังและอาศัยความเข้าใจในการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

4. ลงทุนใน "ตลาดเงิน"

นอกจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ แล้ว ในปีนี้สินทรัพย์ที่ยังควรมีอยู่ในพอร์ต คือสินทรัพย์จากตลาดเงิน เงินฝาก ซึ่งมีเสน่ห์ที่ไม่ผันผวน การถือสภาพคล่องเอาไว้จึงเป็นข้อดีเมื่อมีโอกาสอื่นๆ เข้ามา จะสามารถใช้สภาพคล่องเหล่านี้เข้าไปลงทุนได้เลย เช่น ช่วงทองคำราคาตก หุ้นราคาตก อสังหาฯ ราคาตก โดยปีนี้คาดผลตอบแทนจากตลาดเงิน 1%

ทั้งนี้ วิวรรณ แนะนำให้ถือสภาพคล่องของสินทรัพย์กลุ่มตลาดเงิน ไว้ราว 10-20% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อเป็นสภาพคล่องและสร้างโอกาสให้กับตัวเอง

 5. ตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้นกู้ระยะสั้นไม่เกิน 3 ปี

ตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้นกู้ เป็นกลุ่มที่ควรมีติดพอร์ตไว้เพื่อกระจายการลงทุน ผลตอบแทนไม่น่าสนใจมากนัก โดยผลตอบแทนที่คาดหวังในปีนี้ประมาณ 2.5% ค่าความผันผวนประมาณ 3% มีไว้เพื่อกระจายการลงทุน วิวรรณ แนะนำให้ถือครองสินทรัพย์กลุ่มนี้ในระยะสั้น (ไม่เกิน 3 ปี) ทั้งนี้ต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนตราสาร non-rate หรือหุ้นกู้ที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิตเรทติ้งซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า

โดยภาพรวมการถือสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำทั้งตลาดเงิน รวมถึงพวกพันธบัตร หุ้นกู้ ตราสารหนี้ ควรอยู่ที่ 20-40% ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนรับได้

ปัจจัยที่ควรจับตาเป็นพิเศษในมุมของ วิวรรณ คือ ความผันผวนที่มีอยู่ตลอดเวลา ระวังเรื่องความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามความไม่สงบที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ

ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ก็ต้องคอยติดตาม เนื่องจากข่าวที่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เงินไหลเข้าออกเร็วตามไปด้วยทำให้ทุกอย่างผันผวน

“อยากให้เน้นลงทุนในปัจจัยพื้นฐาน ไม่ว่าจะลงทุนในอะไรที่สามารถรับมือกับความผันผวนได้เพราะเวลาตกจะตกแค่ชั่วคราว แล้วมันจะกลับมาใหม่ เราสามารถถือได้” วิวรรณ กล่าว

 

  • พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตรชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน)

158018284074

1. ลงทุนใน "หุ้นทั่วโลก"

พิพัฒน์ มองว่า หุ้น ยังคงเป็น Asset class น่าสนใจ โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ หุ้นต่างประเทศอาจช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสเติบโตได้ เนื่องจากหุ้นต่างประเทศ (Global Equity) ช่วยกระจายความเสี่ยงที่หลายหลายออกไปข้างนอก เพราะหุ้นไทยเป็นแค่ 0.5% ของไทยของมาร์เก็ตแคปทั้งหมด ถ้าไม่ลงทุนต่างประเทศเลย เหมือนเป็นการปิดโอกาสที่เหลือเกือบร้อยเปอร์เซ็นที่เหลือ อย่างไรก็ดีต้องดูจังหวะเข้าให้ดี

2. ลงทุนใน "หุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่" (Emerging market)

หุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ หากเทรดทอล์กมีการเจรจาลงตัวอาจทำให้หุ้นในตลาดโลกกลับขึ้นมาได้ หากไม่ลงตัวหรือยังไม่ชัดเจนอาจเป็นโอกาสของตลาดเกิดใหม่

3. ลงทุนใน "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน"

สำหรับปีนี้ต้องมีการตั้งรับมากขึ้น โดยมองโอกาสของกลุ่ม Infrastructure Fund (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) และ Property Fund (กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์)

สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บางกอง บางตัวราคากลับมาน่าสนใจมากขึ้น ผลตอบแทนอาจจะต้องหาที่ 5% ขึ้นไปจึงจะน่าสนใจ 

ส่วนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่น่าสนใจมากขึ้นในปีนี้ อยากมองเป็น asset allocation ถ้าเศรษฐกิจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาด

4. ลงทุนใน "ทองคำ"

ทองเป็นสินทรัพย์น่าสนใจมากขึ้นในปีนี้ แม้จะมีความเสี่ยงในด้านต่างๆ พอสมควร แต่ทองยังจะทำหน้าที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่ช็อกตลาด แม้เหตุการณ์คลี่คลายแล้วอาจจะไม่มีผลตอบแทน หรือมีไม่มากแต่เป็นสินทรัพย์ที่แบ่งสัดส่วนสินทรัพย์ที่ถือไว้ได้

5. ลงทุนใน "พันธบัตร" หุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งค่อนข้างปลอดภัย

สินทรัพย์ที่ขาดไม่ได้สำหรับพอร์ตในปีนี้ คือ กลุ่มพันธบัตร หุ้นกู้ เนื่องจากมีความเสี่ยงไม่มากจนเกินไป โดยพิพัฒน์ แนะนำให้ลงทุนในพันธบัตร หรือหุ้นกู้ ที่มีเครดิตเรทติ้งค่อนข้างปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยง หรืออาจลงทุนทางอ้อมโดยสามารถซื้อผ่านกองทุนได้

ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนในช่วงครึ่งแรกปี 2563 นี้ ควรกระจายความเสี่ยงไว้ในหลายสินทรัพย์ พร้อมทั้งคาดว่า การเติบโตสัญญาณทิศทางปรับตัวดีแต่ยังชะลอตัว อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยง หาก Demand ไม่แข็งแกร่ง หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะเสี่ยงต่อการขาดทุนได้

สถานการณ์ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษในช่วงครึ่งแรกปี 2563 ในมุมมองของ พิพัฒน์ ได้แก่ การเลือกตั้งสหรัฐฯ เทรดทอล์ก เบร็กซิท รวมถึงประเด็นเรื่องผิดนัดชำระหนี้และพันธบัตรของจีน ที่จะต้องกังวลหากตัวเลขสูงขึ้นเรื่อยๆ

“เศรษฐกิจแค่ชะลอ ไม่เชื่อว่าจะถดถอยหรือวิกฤติ เพราะถ้าวิกฤติหนี้จะเยอะและมีฟองสบู่ ซึ่งจุดที่น่ากังวลที่สุดคือตลาดจีน แต่ยังไม่มีฟองสบู่หนักขนาดที่จะเป็นวิกฤติในช่วงนี้” พิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย