'สงครามเชื้อโรค' ร้ายกว่าสงครามไหนๆ

'สงครามเชื้อโรค' ร้ายกว่าสงครามไหนๆ

ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ส่งผลกระทบวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในจีน และประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามเชื้อโรค และดูจะเป็นมหันตภัยที่น่ากลัวที่สุด เพราะไม่รู้ว่ากำลังสู้รบกับใคร

การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ติดต่อจากคนสู่คน เริ่มต้นจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนลุกลามพบผู้ติดเชื้อในหลายประเทศทั่วโลกภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สหรัฐ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม รวมถึง ประเทศไทย ที่พบผู้ติดเชื้อแล้ว 8 ราย (ณ 26 ม.ค.2563)

จะว่าไปแล้ว การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อ "อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่องของโลก" ฐานที่นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของโลก จากคำสั่งของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ห้ามให้บริษัททัวร์จีนทำทัวร์พานักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาติอื่นก็ยกเลิก หรือเลื่อนการเดินทางท่องเที่ยวออกไป โดยเฉพาะการเดินทางไปยังในประเทศที่พบผู้ติดเชื้อ จากความกังวลว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโรค

ผลกระทบดังกล่าว ยังกำลังลามไปเป็นผลกระทบต่อ "เศรษฐกิจโลก" เนื่องจากประเทศจีน มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลก และมีขนาดประชากรมากที่สุดในโลก กว่า 1,400 ล้านคน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนที่ต้องหยุดชะงัก เพราะสาละวนกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ขณะที่ความกังวลของผู้คนทั่วโลกต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และมีแนวโน้มผลกระทบจะเพิ่มขึ้น หากทางการจีนไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคร้ายได้อย่างทันท่วงที

โรคระบาดที่เกิดขึ้น จึงถือเป็น "สงครามชีวภาพ" หรือ "สงครามเชื้อโรค" ซึ่งเป็นมหันตภัยที่น่ากลัวที่สุดแล้ว นั่นเพราะ "ไม่รู้ว่ากำลังรบอยู่กับใคร" ผลกระทบยังขยายวงกว้างไปทั่วหน้า ไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม ต่างจาก "สงครามการค้า" ที่แม้จะปั่นป่วนเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังรู้ว่าคู่กรณีคือ สหรัฐ มหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก กับจีน จากข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างกัน ยังสามารถเจรจาต่อรองกันได้ ผลประโยชน์ลงตัวก็จบ หรือกรณีของ "สงครามไซเบอร์" ที่หลายฝ่ายกังวล ก็ยังส่งผลกระทบในวงจำกัด ไม่ได้เป็นไฟลามทุ่งต่อผู้คนทั่วโลกเหมือนกรณีเชื้อโรค

ดังนั้น นอกจากทางการจีนจะต้องเร่งแก้การแพร่ระบาดของเชื้อโรคแล้ว แน่นอนประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย ก็ต้อง "เร่งสกัด" การแพร่ระบาดของเชื้อโรค ตั้งแต่ในระดับรัฐบาล พรรคการเมืองที่ดูแลกระทรวง ทบวงที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงความร่วมมือของภาคเอกชน และภาคประชาชน

ขณะที่ในระดับโลก เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอีก "บททดสอบ" ถึงความแรงร่วมใจในการแก้ไขปัญหา ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย พักยก ละวางความขัดแย้ง มาระดมเครื่องไม้ เครื่องมือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มาแก้ปัญหาของโรคร่วมกัน เพราะนี่คือ "ปัญหาของโลก" ของมนุษยชาติ ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ป้องกันโรคระบาดได้เมื่อใด ค่อยมาทำสงครามการค้ากันต่อ ยังไม่สาย..!