อัยการแจงเหตุไม่ฟ้อง “ชัยวัฒน์” และพวกในคดีฆาตกรรมบิลลี่ เผย พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง

อัยการแจงเหตุไม่ฟ้อง “ชัยวัฒน์” และพวกในคดีฆาตกรรมบิลลี่ เผย พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง

ชี้ สามารถพิจารณาใหม่ได้ภายในอายุความคดี 20 ปี นับจากปี 2557 หากมีพยานหลักฐานใหม่ยืนยันแน่ชัด

รองโฆษก สำนักงานอัยการสูงสุด นายประยุทธ เพชรคุณ เปิดแถลงข่าวความคืบหน้าการดำเนินคดีนายบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านโป่งลีก-บางกลอย ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งหายตัวไปหลังจากถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวจากการมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครองในปี 2557 ก่อนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)จะรับเป็นคดีพิเศษและสืบพบชิ้นกระดูกกะโหลกศรีษะในเขื่อนแก่งกระจานที่มีรหัสพันธุกรรมเทียบเคียงทางฝ่ายมารดาของนายบิลลี่ในปลายปีที่ผ่านมา นำไปสู่การกล่าวหา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้า อช.แก่งกระจาน ขณะนั้นและพวก ในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองและอำพรางศพ

หลังจากสำนวนได้ส่งถึงอัยการในข่วงปลายเดือนธันวาคม นายประยุทธกล่าวว่า ทางอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้จ่ายสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษที่ 1 พิจารณา ก่อนที่จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงานพิจารณาสำวน

โดยข้อหาสำคัญ 7 ใน 8 ข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ไปจนถึงการอำพรางศพ ทางคณะทำงานมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และพวก เนื่องจากได้ยึดพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนและเห็นว่า ยังไม่พอฟ้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อหาที่ 1 ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นายประยุทธ ย้ำว่า ในชั้นนี้ คณะทำงานเห็นว่า พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง

ทั้งนี้ ทางคณะทำงานได้ยึดพยานหลักฐานการตรวจนิติวิทยาศาสตร์ของดีเอสไอที่ใช้วิธีไมโครควอเตรียม ซึ่งตรวจทราบความสัมพันธ์เขื้อสายทางมารดาเท่านั้น แต่ไม่สามารถชี้ชัดเอกลักษณ์ของบุคคล

นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานแวดล้อมเพียงพอที่จะเชื่อมโยงรายละเอียดการฆ่านายบิลลี่กับผู้ต้องหาทั้ง 4 ซึ่งนายประยุทธกล่าวว่า เป็นประเด็นสำคัญที่อัยการต้องบรรยายให้ชัดเจนในคำฟ้องและนำสืบในศาลตามกระบวนการยุติธรรม อาทิ เกิดการฆ่าที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

นอกจากเรื่องการตรวจพิสูจน์ดีเอนเอแล้ว ยังมีเรื่องคำสั่งศาลเพชรบุรีที่ชี้จากการพิจารณาพยานหลักฐานจากทุกฝ่าย หลังจากที่ภรรยานายบิลลี่ พิณนภา ยื่นคำร้องขอให้มีการปล่อยตัวนายบิลลี่หลังจากถูกควบคุมตัว ว่า มีการปล่อยตัวกันไปแล้ว และศาลอุทธรณ์และฏีกาก็ได้ยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไป

แม้จะมีพยาน 2 ใน 5 ปากมาให้การกับดีเอสไอว่าไม่เห็นการปล่อยตัว แต่ทางอัยการชั่งน้ำหนักแล้ว เชื่อในการเบิกความในศาลว่า มีน้ำหนักมากกว่า

นายประยุทธกล่าวว่า ตามกระบวนการยุติธรรม สามารถนำผู้ต้องหาขึ้นศาลได้เพียงครั้งเดียว หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ นำสืบในศาลไม่ได้ และเกิดข้อสงสัยเพียงนิดเดียว ประโยชน์จะถูกยกให้แก่ทางจำเลยคือนายชัยวัฒน์และพวก และเท่ากับโอกาสยกฟ้องมีสูง

จากประเด็นที่สำคัญๆดังกล่าว คณะทำงานจึงลงความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และพวกในข้อหาที่ 1-7 โดยสั่งฟ้องในข้อหาที่ 8 ที่ปรากฏหลักฐานพยานชัดเจนว่ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีที่มีการควบคุมตัวผู้กระทำผิดคือนายพอละจีและไม่นำส่งตำรวจตามกระบวนการทางกฏหมาย

โทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 10ปี นายประยุทธกล่าว

ผมย้ำว่า ในชั้นนี้ (สำหรับข้อหาที่1) พยานหลักฐานยังไม่พอ ถ้าบรรยายไม่ได้ นำสืบไม่ได้ โอกาสยกฟ้อง ก็จะเกิดความเสียหายต่องานยุติธรรมของอัยการมากกว่า

การสั่งของอัยการนี้ ยังสามารถหยิบยกมาพิจารณาในอายุความได้ 20 ปี( นับตั้งแต่ปี 2557) ถ้าหากมีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่านายชัยวัฒน์กับพวกเป็นผู้ร้ายนายประยุทธกล่าว พร้อมเสริมว่า หากทางญาติจะฟ้องเอง ทางอัยการพร้อมให้การสนับสนุน 

ส่วนการดำเนินการต่อ ทางสำนักอัยการคดีพิเศษได้ส่งความเห็นไปยังดีเอสไอเพื่อให้อธิบดีดีเอสไอพิจารณา หากเห็นแย้ง เรื่องจะถูกส่งไปยังอัยการสูงสุดชี้ขาดต่อไป นายประยุทธกล่าว

ในระหว่างการแถลงข่าว พิณนภาหรือมือนอได้มีคำถามถึงการตรวจนิติวิทยาศาสตร์กระดูกที่เชื่อว่าเป็นของบิลลี่ว่าไม่น่าเชื่อถือหรืออย่างไร โดยนายประยุทธ ตอบว่า การตรวจดังกล่าวยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นกระดูกของบิลลี่ แต่เป็นการต่อสายลำดับพันธุกรรมทางมารดา ซึ่งถ้ามีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนก็อาจทำให้หลักฐานแน่นขึ้น แต่เท่าที่คณะทำงานแจ้งมา ไม่มีอะไรมาเชื่อมโยงเหตุการณ์ แล้วยังมีประเด็นคำพิพากษาของศาลตัด

”ในความเห็นส่วนตัวของผม มันยังไม่มีพยานหลักฐานชี้แจ่มแจ้งดุจแสงตะวัน ถ้าสมมุติว่าบิลลี่ไม่มีชีวิติยู่ ถ้าฟ้องไปแล้ว ยกฟ้อง จะเสียหายมากกว่า” นายประยุทธกล่าว

มือนอกล่าวสั้นๆหลังการแถลงข่าวว่า เธอเข้าใจ แต่การอิงแต่หลักฐานของคำพิพากษา ทำให้ “เข้าใจยาก” ในขณะที่การตรวจดีเอนเอ  มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนอื่นที่มีกระดูกไปในน้ำ เพราะชาวกะเหรี่ยงปกติจะเผาศพ

มือนอกล่าวว่าจะปรึกษาพูดคุยกันใหม่เรื่องคดี และหากไม่มีอะไรคืบหน้าจริงๆ อาจจะฟ้องเอง

”คนทั้งคนหายไป มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีเหตุและผล” มือนอกล่าว

ทั้งนี้ มือนอได้ยื่นจดหมายขอคำชี้แจงจากทางอัยการอย่างเป็นทางการถึงเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องในคดีนี้