'โคโรน่า' พาป่วนการลงทุน

'โคโรน่า' พาป่วนการลงทุน

ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังแพร่ระบาดในหลาประเทศในขณะนี้ จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนหรือไม่ กลุ่มไหนจะได้รับผลกระทบนี้บ้าง?

เมื่อหลายประเทสเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งสภาพอากาศเอื้อต่อเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรงและมีอันตรายสูง อย่างไวรัสโคโรน่า ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดี ไวรัสชนิดนี้ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นมา แต่เคยอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) และสายพันธุ์เอช 7 เอ็น 9 (H7N9) ในปี 2549 ที่เคยเข้ามาแพร่ระบาดในบ้านเรามาก่อนนั่นเอง

หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนอย่างไร เราลองมาดูผลกระทบกันครับ เริ่มตั้งแต่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงกว่า 380 จุด นั้บตั้งแต่ที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรกในสหรัฐ ซึ่งแน่นอนถูกกดดันมาจากกลุ่มสายการบิน กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว และกลุ่มโรงแรมร่วงลงอย่างหนัก

ส่วนประเทศที่ถือเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดในรอบอย่างประเทศจีน หลังมีข่าวตรวจพบเชื้อไวรัสดังกล่าวก็ฉุดให้ดัชนี Shanghai SE ปรับตัวลงไปกว่า 140 จุดด้วยกัน อย่างไรก็ดีทางการจีนเองได้ออกมาตรการควบคุมโดยการปิดเมืองอู่ฮั่น เพื่อลดการแพร่เชื้อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นก่อนจะถึงเทศกาลตรุษจีน 1 วัน

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยช่วงตรุษจีนปีนี้เรามองว่าจะลดลงจากสถิติเดิมที่เคยทำได้ราว 3.65 แสนคน ประมาณ 3% อยู่ที่ 3.55 แสนคน หลังจากเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 ทางการจีนได้ปิดระบบการคมนาคมเข้า-ออกในเมืองอู่ฮั่นและในอีกหลายเมือง เช่น หวงกัง เอ้อเจียง เป็นต้น เป็นการชั่วคราวโดยยังไม่มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวไปยังพื้นที่อื่นๆ เนื่องจากในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวจีนหรือเทศกาลตรุษจีน จะเป็นช่วงที่ชาวจีนนิยมเดินทางในประเทศและต่างประเทศ

ส่วนค่าเงินบาทนั้นหลังเกิดการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าแล้วนั้น ก็อ่อนตัวลงทะลุ 30.55 ซึ่งอ่อนสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งเกิดจากความกังวลกับเศรษฐกิจที่อาจหยุดชะงักหลังจากที่จีนเพิ่มการเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสนักลงทุนจึงอยู่ในโหมดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ทั่วโลกทรงตัวในระดับต่ำ

ขณะที่ตลาดทองคำปรับตัวขึ้นจากคำสั่งซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากมีรายงานว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีน ซึ่งชาวจีนจำนวนหลายร้อยล้านคนจะเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายในจีน และในต่างประเทศนอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลก ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย อย่างไรก็ดีกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเริ่มลดน้อยลง อันเนื่องมาจากเทศบาลเมืองอู่ฮั่นของจีนประกาศมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว

ด้านทิศทางราคาน้ำมัน พบว่าอัตราค่าการกลั่น (GRM) ของตลาดโลกยังอยู่ระดับต่ำ ขณะที่ปีนี้มีปัจจัยใหม่เข้ามากดดันเพิ่มเติม คือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงการบินได้รับผลกระทบหนัก เพราะมีแนวโน้มที่ความต้องการใช้น้ำมันลดลง ส่งผลต่อการเดินทางทางอากาศในภูมิภาคลดลง อีกทั้งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลก

ทั้งนี้เราเชื่อว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในจีนต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยจะไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อการท่องเที่ยวในระยะสั้น ดังนั้นในแง่ของ Valuation ในปัจจุบันของราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจึงมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจาก upside ที่กว้างขึ้น หากเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์โรคระบาดในอดีต เช่น SARS และ MERS ในช่วง พ.ค.2546 และ มิ.ย.2558 ตามลำดับ ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบินมีลักษณะที่ปรับฐานลง แต่เมื่อสถานการณ์ได้คลี่คลายลงไป หุ้นในกลุ่มนี้จะฟื้นตัวอีกครั้ง เราชอบ AOT ที่สุดในกลุ่มนี้ รองลงมาเป็น SPA ส่วน ERW CENTEL และ MINT ยังมีปัจจัยลบเฉพาะตัวให้เห็น