ประเทศไทย 2563: การใช้น้ำมัน และการขายรถยนต์

ประเทศไทย 2563: การใช้น้ำมัน และการขายรถยนต์

สถานการณ์การใช้น้ำมันและการซื้อรถในปี 2563 กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน?

เดือนที่แล้ว ทางการไทยคาดว่าการใช้น้ำมันของผู้ใช้รถในประเทศปีนี้จะโตต่อเนื่องจากปี 2562 เพราะราคาน้ำมันโลกอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านที่ทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งแรงจนนักวิเคราะห์คาดกันว่าอาจทะยานแตะ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้เราอาจต้องกลับมาประเมินทิศทางกันใหม่หรือไม่

น.ส.นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ประเมินว่า ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศปี 2563 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2562 ที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2%

"กลุ่มดีเซล ยอดการใช้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 65 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2% กลุ่มเบนซิน จะมียอดการใช้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 33 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 4% ซึ่งเป็นการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวยังขยายตัว ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่สูงมากนัก"

ในปี 2562 การใช้กลุ่มดีเซล ขยายตัวเพิ่มจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้ดีเซล บี 20 ในกลุ่มรถบรรทุก จากแรงจูงใจด้านส่วนต่างราคาที่ทำให้ดีเซล บี20 ถูกกว่า ดีเซล บี7 อยู่ที่ 5 บาทต่อลิตร ก่อนปรับลดเหลือ 3 บาทต่อลิตร ทำให้รถบรรทุกเปลี่ยนจากใช้ก๊าซเอ็นจีวี หันมาเติมดีเซล บี 20 มากขึ้น ส่งผลให้ยอดการใช้ดีเซล บี20 เพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 8.2 ล้านลิตรต่อวัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 ม.ค. บรรดานักวิเคราะห์ของ “ยูเรเซีย กรุ๊ป” (Eurasia Group) บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบโลกอาจพุ่งขึ้นถึงระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากความขัดแย้งครั้งใหม่ในตะวันออกกลางลุกลามจนส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในอิรักหรือส่งผลกระทบกับการขนส่งน้ำมันทางเรือในอ่าวเปอร์เซีย

เหตุที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น เพราะมีความวิตกว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะกระทบการผลิตน้ำมันและปริมาณน้ำมันในตลาดโลก หลังสหรัฐใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศที่สนามบินนานาชาติกรุงแบกแดดของอิรักในช่วงเช้าวันศุกร์ (3 ม.ค.)

ปฏิบัติการนี้ส่งผลให้นายพลกาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของอิหร่าน เสียชีวิต และอิหร่านก็ประกาศล้างแค้นสหรัฐอย่างสาสม ทำให้สถานการณ์ตลาดน้ำมันยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

ขณะที่ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยเมื่อปี 2562 ค่อนข้างซบเซา โดยยอดขายรวมลดลง 1.1% เหลือเพียงประมาณ 9.18 แสนคันจาก 9.28 แสนคันในปี 2561 . แต่เมื่อแยกเป็นประเภทรถ พบว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นประเภทเดียวที่มียอดขายเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 1.7% ส่วนรถปิกอัพและอเนกประสงค์กึ่งปิกอัพต่างมียอดขายลดลง 0.9% และ 4.2% ตามลำดับ

หากราคาน้ำมันในปีนี้ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามตลาดโลก แน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายรถในปี 2563 เพราะผู้บริโภคชาวไทยคงต้องฉุกคิดว่าหากซื้อรถมาแล้วต้องมาเจอน้ำมันแพง สู้ไม่ซื้อแต่แรกยังดีกว่า!