จีน ถูกวิจารณ์หนัก เวทีประชุมเศรษฐกิจโลกดาวอส

สำหรับ‘คลอส ชวาบ’ ประธานผู้ก่อตั้งเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (ดับบลิวอีเอฟ)แล้ว สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นการตอกย้ำถึงแนวทางที่ประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจแห่งนี้กำลังจะมุ่งไป นั่นคือจีนจะเปิดประเทศมากกว่านี้ แม้ว่าจะมีนักกีดกันทางการค้าและมีการเคลื่อนไหวด้านต่างๆที่สวนทางกับจุดยืนของจีนจากบางประเทศ แต่จีนจะไม่หยุดเดินหน้าเปิดประเทศเพื่อรับสิ่งต่างๆที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นและจะไม่เดินตามรอยรูปแบบต่างๆที่ตรงข้ามกับโลกาภิวัฒน์

ชวาบ วัย 81ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในชาวต่างชาติ10 คน ที่ได้รับรางวัลจากสี จิ้นผิง เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้วในฐานะเป็นผู้ให้การสนับสนุนการปฏิรูปและการเปิดประเทศจีนอย่างมากมานานถึง40ปี ชื่นชมคำกล่าวของผู้นำจีน ตรงข้ามกับ‘จอร์จ โซรอส’ผู้ได้รับฉายาว่าพ่อมดการเงินโลก ที่ถือโอกาสช่วงกล่าวสุนทรพจน์ ตำหนิผู้นำจีนด้วยการบอกว่า โลกในยุคปัจจุบันกำลังถูกปกครองโดย “เผด็จการตัวจริงและผู้นำที่อยากจะเป็นเผด็จการ”

มหาเศรษฐีชาวฮังการี กล่าวว่า "มนุษยชาติอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยน และช่วงเวลาไม่กี่ปีนับจากนี้ไปจะตัดสินชะตากรรมของผู้นำประเทศหลายคน เช่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน รวมทั้งเป็นการตัดสินชะตาของโลกใบนี้ด้วย พวกเราอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ ความอยู่รอดของสังคมเปิดกำลังตกอยู่ในอันตราย"

ก่อนหน้านี้ โซรอสก็เคยว่าสี จิ้นผิงว่าเป็นเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของโลกเสรี จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีนที่เติบเติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด และจีนยังควบคุมเทคโนโลยีเหล่านั้นด้วย

“จีนไม่ได้เป็นแค่ประเทศที่ปกครองด้วยสองระบบในแบบรัฐรวมศูนย์ หรือ รัฐอำนาจนิยมเท่านั้น แต่ยังเป็นชาติมหาอำนาจที่เศรษฐกิจและเทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้นำจีนอย่าง‘สี จิ้นผิง’ เป็นบุคคลอันตรายอย่างมากต่อโลกเสรี เนื่องจากรัฐบาลจีนสามารถใช้เทคโนโลยีต่างๆควบคุมประชากรได้ง่ายขึ้น และเป็นอันตรายต่อสังคมในโลกเสรี”พ่อหมดการเงินโลก กล่าว

ในการกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีประชุมดาวอสปีนี้ โซรอส กล่าวว่า สี รวบอำนาจไว้กับตัวเอง และเศรษฐกิจของจีนกำลังสูญเสียความยืดหยุ่นที่เคยมี และสี กลายเป็นเผด็จการที่มีความแข็งแกร่ง แต่ความสำเร็จของสี ยังห่างไกลจากการสร้างความมั่นใจ เนื่องจากสถิติประชากรที่เกิดจากนโยบายลูกคนเดียวใช้ไม่ได้ผลกับจีน

นอกจาก สี จิ้นผิงและจีนจะถูกโซรอส กล่าวตำหนิกลางเวทีประชุมแล้ว บรรดาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ก็มีมุมมองลบต่อจีนเช่นกันโดย‘เอมอส ยาดริน’ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันเพื่อการศึกษาความมั่นคงแห่งชาติของอิสราเอลในเทล อาวีฟ ระบุว่า จีนเป็นตัวอย่างของความเป็นจริงที่ว่าโลกทั้งใบไม่สามารถบรรลุข้อตกลงด้านไซเบอร์และทุกวันนี้จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มขึ้น

ความรู้สึกไม่พอใจและหวาดระแวงจีนเกิดขึ้นแม้กับคนที่คอยปกป้องจีนและเรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนของจีนอย่างนิโคลาส สเติร์น ประธานแกรนแธม รีเสิร์ช อินสติติว ออน ไคลเมท เชนจ์ แอนด์ เอนไวรอนเมนท์ ในกรุงลอนดอน ที่แสดงความวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดของรัฐบาลปักกิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลง

“จีนเป็นประเทศที่มีความตึงเครียดทางการเมืองสูง และขณะนี้เศรษฐกิจของจีนกำลังอยู่ในช่วงขาลง การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเดิมๆของจีนยิ่งเพิ่มแรงกดดันแก่บรรยากาศการดำเนินธุรกิจและเศรษฐกิจ”สเติร์น ให้ความเห็น

ที่ผ่านมา จีนได้จับมือกับประเทศพันธมิตรและดำเนินนโยบายต่างๆสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์โลกอย่างแน่วแน่ จนเป็นผู้นำการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก และด้วยบทบาทนี้เองจีน จึงเป็นทั้งผู้ได้รับประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ และเป็นผู้ใช้ หรือมีส่วนช่วยอย่างจริงจัง ซึ่งแน่นอนว่า การเปิดเสรีอย่างต่อเนื่องของจีนจะยิ่งช่วยเน้นย้ำบทบาทของจีนต่อไปในกระบวนการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ตลอดจนนำทิศทางกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจไปได้ด้วยดี