'สนธิรัตน์' เร่งหนุนใช้ E20 หวังดันราคาสินค้าเกษตร

'สนธิรัตน์' เร่งหนุนใช้ E20 หวังดันราคาสินค้าเกษตร

“สนธิรัตน์” ประกาศนโยบายพลังงาน เดินหน้าผลักดัน E20 ยกเลิกแก๊สโซฮอล์ 91 มีผลไม่เกินไตรมาส 3 ปีนี้ หวังราคาสินค้าเกษตร มันสำปะหลัง และอ้อย มีเสถียรภาพ ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการใช้เอทานอลเป็น 7 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบัน 4-5 ล้านลิตรต่อวัน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากไปกับ E20” โดยระบุว่า กระทรวงพลังงานเตรียมประกาศให้แก๊สโซฮอล์ E20 หรือ น้ำมันเบนซินที่มีสัดส่วนเอทานอลผสมอยู่ประมาณ 20% ให้เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐานของประเทศ เพื่อสร้างสมดุล และเสถียรภาพราคาให้กับพืชเกษตร เช่น มันสำปะหลัง และอ้อย ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอลถึง 27%

พร้อมกันนี้กระทรวงพลังงานจะยกเลิกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ และสนับสนุนให้ผู้ใช้มีการปรับตัวใช้น้ำมัน E20 ให้มากชึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ หรือเร็วกว่ากำหนดหากผู้ประกอบการมีความพร้อม อย่างไรก็ดี มั่นใจว่าเมื่อมีการประกาศใช้นโยบายดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว จะเพิ่มปริมาณการใช้เอทานอลเป็น 7 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบันมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 4-5 ล้านลิตรต่อวัน

ขณะเดียวกัน ด้วยความต้องการใช้เอทานอลที่เพิ่มมากขึ้น กระทรวงฯ คาดว่าจะช่วยผลักดันราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องให้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะราคามันสำปะหลัง ที่ปกติจะมีราคาตกต่ำเมื่อผลผลิตออกสู่ตลาด แต่คาดว่าในฤดูกาลผลผลิตออกสู่ตลาดในปีนี้ มันสำปะหลังจะมีราคาปรับตัวเพิ่งสูงขึ้น จากราคาเฉลี่ยในปีก่อนที่อยู่ราว 2.07 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้จะมีการปรับตัวเพิ่มสูงกว่าปีก่อน เช่นเดียวกันราคาอ้อย นโยบายนี้จะเป็นมาตรการทางอ้อมช่วยด้านราคา เข้าไปดูดซับไซรัปในตลาด และทำให้ราคาอ้อยสูงขึ้น

“เนื่องจากเอทานอลมีส่วนผสมของมันสำปะหลัง และน้ำตาล เป็นตัวหลักในการผลิต เมื่อปริมาณความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มสูงขึ้นจากการส่งเสริมใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ซึ่งประเมินแล้ว จะมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านลิตรต่อวัน ดังนั้นจะทำให้ความต้องการใช้มันสำปะหลัง และอ้อยเพิ่มขึ้น เมื่อดีมานด์มีเพิ่ม ราคาก็จะปรับตัวสูงขึ้น"  

157987020548 นายสนธิรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ถึงเป้าหมายของการผลักดันนโยบายใช้แก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐานของประเทศแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายมีความพร้อมที่จะสนับสนุน โดยหลังจากนี้จะต้องประสานไปยังโรงกลั่น ผู้ค้าน้ำมัน และค่ายรถยนต์ เพื่อเตรียมการเปลี่ยนผ่านใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ให้มากขึ้น ส่วนมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์ E20 กระทรวงฯ ยังอยู่ระหว่างเตรียมหารือกับโรงกลั่น และผู้ค้าน้ำมัน เพื่อจัดทำแคมเปญส่งเสริมการตลาดร่วมกัน

อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ ยืนยันว่า นโยบายดังกล่าวจะไม่เป็นผลกระทบต่อผู้ใช้รถยนต์เก่าที่ใช้แก๊สโซฮอล์ 91 เนื่องจากมีการสำรวจมาแล้วว่า รถยนต์รุ่นเก่าที่เคยใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้แก๊สโซฮอล์ 95 ได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ราว 6.5 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่น้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 95 มีปริมาณใช้อยู่ที่ 12 ล้านลิตรต่อวัน และน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 มีปริมาณใช้ 9 ล้านลิตรต่อวัน

นอกจากนี้ ยังพบว่าปัจจุบันมีรถที่สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ E20 รวมอยู่ราว 18 ล้านคัน แบ่งออกเป็น รถยนต์ 3.3 ล้านคัน และรถจักรยานยนต์ 14.71 ล้านคัน แต่กลับพบว่าในจำนวนรถเหล่านี้ มีผู้ใช้แก๊สโซฮอล์ E20 อยู่เพียง 22% เท่านั้น ขณะเดียวกันยังพบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ดังนั้นกระทรวงฯ จึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการส่งเสริมให้ผู้ใช้รถเหล่านี้ ให้เลือกใช้แก๊สโซฮอล์ E20 มากขึ้น

“ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีรถที่สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ได้จำนวนมาก แต่ยังนิยมใช้น้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ซึ่งเป้าหมายของเราต้องการส่งเสริมให้ไปใช้ E20 มากขึ้น เพราะจะเป็นช่องทางในการขับเคลื่อนราคาพืชผลทางการเกษตรให้มีเสถียรภาพทางราคามากขึ้น ส่วนการยกเลิกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ก็จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งจะไม่เกินช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้”

ทั้งนี้ ปัจุจบันมีโรงงานผลิตเอทานอลอยู่ที่ 26 แห่งกำลังการผลิต 6.275 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งออกเป็น โรงงานผลิตจากน้ำตาล 11 แห่ง กำลังการผลิต 2.66 ล้านลิตรต่อวัน โรงงานไฮบริด ผลิตจากกากน้ำตาลและมันเส้น จำนวน 5 แห่ง มีกำลังการผลิต 1.05 ล้านลิตรต่อวัน และโรงงานผลิตจากมันสำปะหลัง 10 แห่ง กำลังการผลิต 2.2 ล้านลิตรต่อวัน โดยขณะนี้มีโรงงานผลิตเอทานอลที่เตรียมเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 6 แสนลิตรต่อวัน