'ไวรัสโคโรน่า-ฝุ่นพิษ' หนุนผู้ป่วยกลุ่มโรงพยาบาลพุ่ง!

'ไวรัสโคโรน่า-ฝุ่นพิษ' หนุนผู้ป่วยกลุ่มโรงพยาบาลพุ่ง!

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019” กำลังสร้างความหวั่นวิตกไปทั้งโลก หลังสถานการณ์รุนแรงขึ้นทุกวัน เนื่องจากพบจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ

โดยทางการจีนออกมายอมรับว่าเชื้อดังกล่าวสามารถติดต่อจาก “คนสู่คน” ผ่านระบบทางเดินหายใจ และมีความเสี่ยงที่เชื้อกำลังจะกลายพันธุ์ ทำให้การควบคุมและรักษาโรคทำได้ยากขึ้น

เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ถูกพบครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ยของจีน ช่วงปลายปี 2562 ก่อนที่จะระบาดไปยังประเทศอื่นๆ โดยข้อมูล ณ วันที่ 23 ม.ค. พบผู้ป่วยติดเชิ้อในประเทศจีนแล้ว 570 ราย ในเมืองอู่ฮั่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ มณฑลกวางตุ้ง มณฑลเสฉวน ยูนนาน ชานตง ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นเป็น 17 ราย

ส่วนในต่างประเทศพบผู้ป่วยทั้งในสหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเก๊า และไทย ซึ่งเป็นประเทศแรกที่พบผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีน เป็นชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า พบผู้ติดเชิ้อในประเทศไทยแล้วทั้งหมด 4 ราย เป็นชาวจีน 3 ราย ซึ่งหายดีและเดินทางกลับประเทศแล้ว 2 ราย เป็นหญิงอายุ 61 ปี และ 74 ปี ส่วนอีกรายเป็นชายอายุ 65 ปี อาการดีขึ้นตามลำดับ ส่วนผู้ป่วยคนไทยรายแรก เป็นหญิงอายุ 73 ปี ซึ่งเดินทางกลับมาจากเมืองอู่ฮั่น

แน่นอนว่าการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม ทั้งการท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน

แต่ในมุมกลับกันเมื่อเกิดโรคระบาดจะทำให้ประชาชนตื่นตัวมากขึ้น เมื่อพบว่าตัวเอง ญาติพี่น้อง หรือ บุคคลใกล้ชิดมีอาการป่วยจะรีบไปหาหมอทันที ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยที่จะเข้ารับการรักษาหรือ ตรวจเช็คสุขภาพ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล

หากย้อนกลับไปในช่วงที่มีการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) เมื่อปี 2545-2546 ซึ่งคร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 700 ราย ในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง และมีผู้ป่วยติดเชื้ออีกกว่า 8,000 ราย พบว่า หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวขึ้นสวนทางดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index)

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ในช่วง 1 เดือนแรก หลังพบการระบาดของโรคซาร์สในประเทศไทยครั้งแรก ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปกว่า 2.4 พันล้านบาท และกดดัน SET Index ปรับตัวลดลง 0.7% โดยกลุ่มท่องเที่ยวและขนส่งปรับตัวลงมากที่สุด -6.2% และ -5.7% ตามลำดับ แต่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 20.9%

คงต้องมารอดูว่าครั้งนี้ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะโชว์ฟอร์มได้ดีเหมือนช่วงที่เกิดโรคระบาดในครั้งก่อนๆ หรือไม่ ? โดยปีนี้กลุ่มโรงพยาบาลยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ปรับตัวลดลง 1.63% ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการขายทำกำไร หลังไล่ราคาขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีก่อนจากประเด็นการปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลในกลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม ขณะที่ SET Index ปีนี้ปรับตัวลดลง 1.38%

นอกจากความกังวลเรื่องสถานการณ์โรคระบาดแล้ว กลุ่มโรงพยบาลยังมีปัจจัยบวกจากประเด็นปัญหาสุขภาพอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นละอองในอากาศ PM 2.5 ที่ปีนี้ดูรุนแรงขึ้น หลายพื้นที่ยังมีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและสุขภาพของประชาชน เพราะหากสูบดมฝุ่นพิษเข้าไปมากๆ เสี่ยงที่จะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ มะเร็งปอด หัวใจขาดเลือด ฯลฯ

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากคำแนะนำของนักวิเคราะห์หลายๆ สำนักแล้ว ยังคงเลือกหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เป็นหุ้นเด่นประจำกลุ่ม ด้วยจำนวนเครือข่ายโรงพยาบาลในเครือที่มากที่สุดในประเทศ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ ยิ่งในช่วงที่มีโรคระบาด เมื่อประชาชนเริ่มรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ จะตัดสินใจเข้ารับการรักษาเร็วขึ้นในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูง

ขณะที่ในแง่ปัจจัยพื้นฐานยังเติบโตจากจำนวนผู้ป่วยทั้งคนไทยและต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รับอานิสงส์จากตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) การเปิดโรงพยาบาลใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีนที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากผ่านการร่วมมือกับ ผิง อัน (Ping An)

ส่วนการปรับเพิ่มค่าเหมาจ่ายรายหัวให้กับกลุ่มคนไข้ประกันสังคมเป็น 1,640 บาท จากเดิม 1,500 บาท ถือเป็นอัพไซด์ให้กับผลประกอบการในกลุ่มโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยประกันสังคม โดยบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ได้ประโยชน์จากประเด็นนี้มากที่สุด เนื่องจากมีฐานผู้ประกันตนสูงที่สุดถึง 8.7 แสนราย การปรับขึ้นค่ารักษาครั้งนี้จะเพิ่มอัพไซด์ให้กับกำไรสุทธิปีนี้อีก 9%