ปตท.เร่งเครื่อง 'มาบตาพุดเฟส 3' เตรียมแผนถมทะเลพันไร่

ปตท.เร่งเครื่อง 'มาบตาพุดเฟส 3' เตรียมแผนถมทะเลพันไร่

ปตท.เร่งเครื่องพัฒนา “มาบตาพุด” เฟส 3 เตรียมแผนถมทะเล 1,000 ไร่ เมินร่วมทุน “อู่ตะเภา-ไฮสปีด”

ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเร่งผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทในกลุ่ม ปตท.ร่วมซื้อซองประมูล 4 โครงการ แต่ยื่นซองประมูล 2 โครงการ คือ โครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 (ท่าเทียบเรือ F) และโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 

ส่วนอีก 2 โครงการ ไม่ได้ยื่นประมูล คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) และโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งที่ผ่านมากลุ่ม ปตท.เคยมีท่าทีที่จะเข้าร่วมลงทุนหลังจากมีการลงนามสัญญาแล้ว

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรรมการผู้ใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท.ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าร่วมลงทุน 2 โครงการ ในอีอีซี คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) ซึ่งปัจจุบันทางบริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด (กลุ่มซีพี) เป็นลงนามกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก

“ก่อนหน้านี้ ปตท.มีแนวคิดว่า อาจจะพิจารณาเข้าไปร่วมลงทุนกับผู้ชนะการประมูลในโครงการไฮสปีดเทรนภายหลัง แต่ได้ศึกษาอย่างรอบคอบแล้วว่า ทั้ง 2 โครงการดังกล่าว ปตท.ไม่มีความถนัดในการทำเรื่องของรถไฟฟ้าและสนามบิน เพราะไม่เคยลงทุนมาก่อน”

157969365623

ดังนั้น ปตท.จะหันมามุ่งเน้นการลงทุน 2 โครงการขนาดใหญ่ในอีอีซี คือ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 (ช่วงที่1) ซึ่งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับ บริษัทกัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ที่เป็นบริษัทในเครือ ปตท.ไปเรียบร้อยแล้ว

หลังจากกลุ่ม ปตท.ได้จับมือกับกลุ่มกัลฟ์ฯ ซึ่งเป็นลูกค้า ปตท.และผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ เพื่อเข้าร่วมการประมูลแข่งขัน และเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าว ภายใต้สัญญาร่วมทุนในรูปแบบ Public Private Partnership (PPP) NET Cost หรือ ร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนโดยให้เอกชนได้รับสิทธิ์ในการประกอบกิจการบนพื้นที่ 200ไร่ และจัดสรรผลตอบแทนบางส่วนให้แก่ภาครัฐตามข้อตกลง

ขณะนี้การดำเนินโครงการมาบตาพุดเฟส 3 ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และมีแผนที่จะเตรียมความพร้อมดำเนินการถมทะเล 1,000 ไร่ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาหาผู้รับเหมาเพื่อถมทะเล ซึ่งจะมีกระบวนการขออนุญาตต่างๆในการก่อสร้างต่างๆที่ต้องใช้เวลา 

รวมทั้งยังต้องศึกษาขนาดโครงการที่เหมาะสมด้วย โดยจะต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญทั้งเรื่องของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยด้วย คาดว่า ปีนี้ น่าจะเริ่มดำเนินการถมทะเลได้ หากสามารถประมูลจัดหาผู้รับเหมาที่มีศักยภาพตรงความตามต้องการได้

โครงการมาบตาพุดเฟส 3 จะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศที่ช่วยเสริมศักยภาพการจัดหาและนำเข้า LNG เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน จากปัจจุบัน ปตท.มีคลังรับจ่าย LNG แห่งที่ 1 ขนาด 11.5 ล้านตันต่อปี และอีก 2 ปี คลังรับจ่าย LNG แห่งที่ 2 ขนาด 7.5 ล้านตันปีจะแล้วเสร็จ ทำให้ประเทศมีความสามารถรองรับ LNG ได้ถึง 19 ล้านตันต่อปี และโครงการมาบตาพุดเฟส 3 จะมีรองรับ LNG ได้อีก 5-10 ล้านตันต่อปี ขึ้นอยู่กับสภาพของตลาดด้วย แต่กว่าจะแล้วเสร็จคาดว่าจะใช้เวลา 7-8 ปี

“ถึงเวลานั้น ความต้องการใช้ก๊าซอาจจะมากขึ้น ก๊าซในอ่าวไทยอาจจะลดลง ฉะนั้น ความต้องการใช้ LNG อาจจะมากขึ้นได้ และการขยายตลาด การขยายถนน ที่เข้าไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้ อุตสากรรมที่เคยใช้พลังงานมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ พลังงานที่ต้นทุนอาจจะแพงกว่า ก็อาจจะหันมาใช้ LNG นอกแนวท่อก๊าซมากขึ้นก็เป็นโอกาสของ LNG”

ส่วนอีกโครงการสำคัญ คือ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ซึ่งกลุ่ม ปตท.ได้จับมือกับกลุ่มกัลฟ์ เข้าร่วมประมูลภายใต้กลุ่มกิจการร่วมค้าจีพีซี ประกอบด้วย บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (บริษัทลูกของกลุ่ม ปตท.) บริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ China Harbour Engineering Company Limited จากประเทศจีน

ขณะนี้ ยังรอความชัดเจนจากภาครัฐ เนื่องจากยังมีเรื่องกระบวนการของศาลปกครองสูงสุดด้วย หลังจากกลุ่มกิจการร่วมค้าเอ็นซีพี ซึ่งเป็นผู้ไม่ผ่านการประเมินเอกสารข้อเสนอซองที่ 2 ซองคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอโครงการนี้ ได้ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองสูงสุดจึงต้องรอความคืบหน้าในเรื่องนี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ปตท.ได้เตรียมความพร้อมที่ลงทุนใน 2 โครงการดังกล่าวไว้แล้ว โดยในส่วนของโครงการมาบตาพุดเฟส 3 ได้เตรียมงบลงทุนรองรับอยู่ภายใต้แผนลงทุน 5 ปี (2563-2567) ของ ปตท.และบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% ที่มีวงเงินรวม 180,814 ล้านบาท

ส่วนโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 แม้จะยังไม่บรรจุอยู่ภายใต้งบลงทุน 5 ปี แต่ ปตท.ได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 203,583 ล้านบาท รองรับไว้แล้ว

ก่อนหน้านี้ ชาญศิลป์ เคยระบุถึงเหตุผลที่ กลุ่ม ปตท.มีความสนใจในโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพราะมีความถนัดในการทำธุรกิจนี้ ทั้งการบริหารท่าเรือขนถ่ายสินค้าเหลว (ลิควิดพอร์ต) และท่าเทียบเรือรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว 

รวมถึงการพัฒนาแหลมฉบัง ที่จะเป็นท่าเทียบเรือตู้ขนส่งสินค้า(คอนเทนเนอร์พอร์ต) ซึ่งปัจจุบัน ปตท.ส่งออกส่งสินค้าในคอนเทนเนอร์พอร์ตปริมาณมาก เช่น เม็ดพลาสติก รวมถึงส่งน้ำมันป้อนเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ในแถบนี้ อีกทั้งปี 2563 ได้เริ่มใช้มาตรการขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่จำกัดกำมะถันในน้ำมันเตาของเรือเดินสมุทรไม่เกิน 0.5% ก็เป็นโอกาสสำหรับกลุ่ม ปตท.