'เมิร์ซ' เกาะเทรนด์สวยแบบตัวเอง ดันตลาดหัถตการความงามโต.!

'เมิร์ซ' เกาะเทรนด์สวยแบบตัวเอง ดันตลาดหัถตการความงามโต.!

ประโยค “ผู้หญิงอย่าหยุดสวย..ถ้าไม่สวยก็หยุดเถอะ” อาจมีความติดตลกเรียกเสียงหัวเราะในหมู่ผู้บริโภคผู้หญิง แต่ในทางการตลาดสะท้อนให้เห็นความต้องการเชิงลึก (Insight) ว่ากลุ่มเป้าหมายสุภาพสตรีนั้นรักสวยงามอย่างมาก

เพราะไม่เพียงผลักดันตลาดสินค้าความงามแสนล้านบาท ตลาดศัลยกรรมหมื่นล้านบาท และตลาด หัตถการความงามหลักพันล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

อดีตพฤติกรรมผู้บริโภคสาวๆคนไทย ต้องการสวยแบบพิมพ์นิยม และมีศิลปิน นักแสดงดังเป็น “ต้นแบบ” ความสวย แต่จากการวิจัยผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกล่าสุด พบอินไซต์เปลี่ยนไปแล้ว โดยกลุ่มอายุ 30-45 ปี ทำสวยแล้วมีโอกาสได้งาน ความรัก รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ส่วนกลุ่มอายุ 45-60 ปี ทำสวยแล้วเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง

นอกจากนี้ ผู้หญิงยุคนี้ต้องการสวยในแบบฉบับของตัวเองมากขึ้น(Individual Beauty) ทำให้เกิดเทรนด์สวยสุดในเวอร์ชั่นของตัวเองหรือ The best version of me

ผู้หญิงไม่ได้ทำสวยเพื่อแฟน หรือเพื่อใครๆอีกแล้ว แต่ปัจจุบันทำสวยเพื่อตัวเองมากขึ้น ทำเพื่อสร้างความมั่นใจ มี Self Esteem คือการเห็นคุณค่าต่อตนเอง ทำแล้วเพิ่มโอกาสทั้งการงาน ความรัก เป็นต้น เภสัชกรหญิงกิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ไทยแลนด์ ย้ำเทรนด์

นอกจากนี้ การขยายตัวของคลินิกความงาม ซึ่งมีมากกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ(ไม่นับจำนวนสาขา) โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจความงามที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือหัตถการความงามมูลค่า 5,200 ล้านบาท ยังเติบโตต่อเนื่อง 9-10% และหากแบ่งประเภทหัตถการต่างๆจะพบว่าเดอร์มัล ฟิลเลอร์(การฉีสารเติมเต็มฟิลเลอร์)มีการเติบโต 9% โบทูไลนุม ท็อกซิโต หรือการฉีดโบท็อกลดเลือนริ้วรอยโต 7% และเครื่องยกกระชับต่างๆ (ยกกระชับหน้า V shape X shape)โต 9%

อีกเทรนด์ที่น่าสนใจ คือผู้หญิงที่รักสวยงามด้วยการทำหัตถการมีอายุต่ำลงที่ 18-20 ปีขึ้นไป จากเดิมจะอยู่ที่ 30 ปี เพราะเริ่มเห็นริ้วรอย รวมถึงผู้ชาย จากเดิมจะเป็นกลุ่มที่ไม่ต้องการทำความงามด้วยการฉีดใดๆ แต่ปัจจุบันจะเริ่มทำความงามด้วยการยกกระชับใบหน้า ต้องการลดเลือนริ้วรอยมากขึ้น ที่สำคัญพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่มีความฉลาด(Smart Consumer)มากขึ้น โดยก่อนการทำความงามจะต้องหาข้อมูลประกอบให้มากสุด

“ตลาดหัตถการความงามเริ่มบูมเมื่อ 15 ปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทรนด์จากวัฒนธรรมเกาหลีหรือ K-Pop มีส่วนทำให้ตลาดคึกคัก ขณะที่ปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มดูแลตัวเองเร็วขึ้น ต้องการให้ตัวเองดูอ่อนเยาว์ จึงทำความงามตั้งแต่อายุ 18-20 ปี ส่วนกลุ่มผู้ชายถือเป็นตลาด Blue Ocean”

ทั้งนี้ เมิร์ซฯ ถือเป็นผู้ผลิตสินค้าเวชภัณฑ์เบอร์ 3 ของโลก มียอดขายกว่า 20,000 ล้านบาท จากแบรนด์ เช่น Ultherapy Bocouture Xeomin Belotero ฯ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้ปรับโครงสร้างธุรกิจจากระบบตัวแทนจำหน่าย เป็นการตั้งบริษัทเพื่อทำตลาดในเชิงรุกกว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ เพราะสร้างยอดขายเติบโตเป็นลำดับที่ 3 ในเอเชียแปซิฟิก รองจากฟิลิปปินส์ เกาหลี

เกมบุกตลาด 3 ปีข้างหน้า ยังมุ่งเจาะตลาดพรีเมี่ยม ผนึกพันธมิตรที่เป็นคลินิกความงามชั้นนำ 900 แห่งทั่วประเทศ เป็นกระบอกเสียง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากขึ้นหรือเพิ่ม Usage ผลักดันการเติบโตยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 20-25% ต่อเนื่อง จากปัจจุบันมียอดขายกว่า 500 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทมุ่งชิงส่วนแบ่งตลาดเป็น 20% เพื่อก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดสินค้าหัตถการความงาม จากปัจจุบันอยู่ท็อป 5 จากผู้เล่นในตลาดมี 8-9 แบรนด์ จากสหรัฐ สวีเดน เกาหลีใต้ และจีน  

“เราเป็นธุรกิจ B2B2C จากคลินิกคู่ค้า ไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย และมุ่งเน้นจับตลาดพรีเมี่ยมเป็นหลัก ซึ่งในทุกตลาดไม่ว่าจะเป็นแมส หรือตลาดบนล้วนแข่งขันด้วยสงครามราคา สำหรับการใช้จ่ายในการทำหัตถการความงามแต่ละครั้งจะอยู่ที่ 15,000 บาท ส่วนตลาดแมสจะใช้จ่ายที่ 5,000-7,000 บาท โดยความถี่ทำหัถการความงามยกกระชับต่างทำปีละครั้ง ฟิลเลอร์เติมทุก 3 เดือน เป็นต้น”

อย่างไรก็ตาม ช่วงภาวะเศรษฐกิจกำลังซื้อไม่ดี ตลาดพรีเมี่ยมไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่โดยทั่วไป ผู้บริโภคจะต้องการโปรโมชั่น และขอส่วนลดในการทำความงามมากขึ้น